วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556

“เราไม่ได้ทำสมาธิมาเพื่อการนี้”


ตอนหนึ่ง ใน “มิจฉาสมาธิ” วันที่ 4 พย.2552 ชมรมพุทธฯดีแทค จัตุรัสจามจุรี ตึกสำนักงาน ชั้น 33

โดย พระครูปลัดภูเบศ ฌานาภิญโญ
(หลังจากชม MV เด็กฝึกพลังจิตในคอร์สจิต ในรายการทีวีหนึ่ง เด็กโชว์การอ่านหนังสือทั้งที่ปิดตา)

พระ อาจารย์บอกว่า การที่เด็กทำแบบนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องของสมอง แต่เป็นเรื่องของจิต เป็นเรื่องของสมาธิ ไม่เกี่ยวกะสมองส่วนกลาง การที่เด็กบอกว่าเห็นเป็นสมองส่วนกลางเพราะเด็กเข้าใจอย่างนั้น
เรื่อง แบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ มีมานานแล้ว สมัยที่พระอาจารย์ยังเรียนอยู่ก็เคยอ่านหนังสือของคนที่มีญาณวิเศษ มองทะลุกำแพงได้ แล้วทีนี้มีญาณอย่างนี้เข้าก็เอาไปใช้เสี่ยงทาย เล่นเกมโชว์ สุดท้ายเอาไปเล่นพนัน เมื่อเห็นอย่างนี้เล่นทีไรก็ชนะ กินคนอื่นหมดตัว ทำไปทำมาก็ไปขัดตาพวกมีอิทธิพลในบ่อน ส่งคนมาฆ่า แต่รอดทุกทีเพราะมองทะลุเห็นหมดว่าใครพกปืนจะมาฆ่าตัว ชีวิตก็ไม่สงบสุขซะที ต้องคอยหลบภัย สุดท้ายก็เป็นโรคตาย

คนที่ว่านี้เค้าก็ฝึกสมาธิมา แต่ฝึกแบบเพ่งสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานๆ หรือที่รู้จักกันว่า กสิณ
ย้อน กลับมาดูเด็กๆพวกนี้ ตอนเด็กๆยังใสๆมองอะไรเล่นๆไม่รู้สึกอะไร แต่ตอนเป็นหนุ่มเป็นสาวนี่สิ ถ้ายังมองทะลุได้ทุกอย่าง รวมไปถึงเสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกายเรานี่ มิแย่หรือ อันตรายนะ เสื้อผ้าสองชั้นสามชั้นกันไม่อยู่ อยากเห็นอะไร มองทะลุเข้าไปเห็นได้หมด หรือเอาไปเล่นพนันอย่างกรณีที่แล้ว นี่ก็อันตราย

สมาธิเป็น ของอัศจรรย์ ใครที่ฝึกในระดับหนึ่งแล้ว อย่าว่าแต่ปิดหนังสืออ่าน นับจักรวาลก็ทำได้ คนในหมู่คณะที่เคยเอาสมาธิไปแสดงในเกมโชว์ก็มีนะ ทำได้ดีกว่าด้วยไม่ต้องตั้งท่าปิดตา มองในระยะไกลก็ได้ คือว่าสมัยที่อยู่บ้านธรรมประสิทธิ์กับคุณยาย หลวงพ่อ ก็มีเพื่อนคนหนึ่งนั่งธรรมะดี ได้ญาณ ไปเข้าแข่งขันประลองปัญญา ที่สมัยนั้น ปั๊มเชลล์ จัดรายการนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะคนนั้นเขาเรียนเก่งอยู่แล้ว โอกาสได้แชมป์ก็มี แต่คนนี้ไม่คิดแค่นั้น คิดจะลองวิชา ใช้ตาทิพย์ไปส่องดูคำเฉลยที่อยู่ห่างไปคนละฟาก และตอบตามที่เห็นนั้นแหละ ตอบถูก ตอบตรงทุกตัวอักษร คนดูฮือฮากันใหญ่ และรางวัลที่หนึ่งก็ตกเป็นของเค้าอย่างง่ายๆ พอกลับมาก็ไปอวดให้เพื่อนๆฟัง แต่พอไปถึงหูหลวงพ่อธัมมชโย(ตอนนั้นยังไม่ได้บวช) ก็ตำหนิกลับมาเลยว่า “ไป แย่งชิงรางวัลของคนที่สมควรจะได้ มันใช้ได้ที่ไหน เราไม่ได้ทำสมาธิมาเพื่อการนี้ สมาธิมีไว้หาพระรัตนตรัยในตัว ต่อไปอย่าทำอีก” ถึงกับจ๋อยเลย

สมาธิที่เล่ามานี่ เป็นตัวอย่างหนึ่งในสองสมาธิที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน สมาธิในฝั่งเราที่เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวก็มี เรียกว่า สัมมาสมาธิ ของฝั่งเค้าก็มีเหมือนกัน เรียกว่า มิจฉาสมาธิ ก็คือที่เล่ามาแล้วนี่เอง ดังนั้นทุกคนจำไว้ให้ดีนะ เราไม่ได้มาทำสมาธิเพื่อการอื่นนอกจากการ "เข้าถึงพระรัตนตรัยภายในตัว”