วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557

พระป๊อก โค้ชฟุตบอล ที่พึ่งของเยาวชน

 เรื่องที่จะนำมาลงต่อไปนี้ อาจไม่ถูกใจผู้ที่มีจุดยืนเรื่องความเคร่งครัดในกิริยาอาการของพระภิกษุสงฆ์ แต่โดยส่วนตัวผู้โพสเห็นว่า เป็นข้อคิดที่มีประโยชน์ต่อสังคม และเป็นแรงบันดาลใจให้คนทั่วไปอยู่ไม่น้อย จึงนำมาเสนอไว้ในบล็อกนี้ขอรับ
 
ขอขอบคุณ http://hilight.kapook.com/view/71954 สำหรับเนื้อหาดีดี 
 

20 สุดยอดคนหัวใจแกร่ง ปลุกพลัง แรงบันดาลใจให้สังคม

http://hilight.kapook.com/view/79941
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
 
พระป๊อก คนค้นฅน


พระป๊อก คนค้นฅน


พระป๊อก คนค้นฅน





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Youtube.com โพสต์โดย  LadyBimbettes , รายการคนค้นฅน

          20 ปีมาแล้ว ในตำบลโคกกลอย จังหวัดพังงา พื้นที่ที่คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม หรือเป็นชาวมุสลิม พวกเขาได้พบกับพระสงฆ์รูปหนึ่ง ที่ทุ่มเทแรงกายและแรงใจ ไปกับการพัฒนาเด็ก ๆ ในชุมชน ให้เติบโตมาอย่างมีจิตสำนึก และหลีกหนีให้ห่างไกลจากยาเสพติด แม้ว่าจะนับถือกันคนละศาสนา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ พระป๊อก พระสงฆ์ผู้เป็นที่พึ่งของเยาวชนรูปนี้ ลดละความตั้งใจที่จะพัฒนาเยาวชนในชุมชนได้เลย

          รายการคนค้นฅน (29 พฤษภาคม) นำเสนอเรื่องราวของ พระสมุห์โกศล ญาณวโร หรือ พระป๊อก พระสงฆ์รูปหนึ่งที่ชาวบ้านในจังหวัดพังงารู้จักกันดี ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าท่านุ่น ตำบลโคกกลอย อำเภอตะกั่วทุ่ง เป็นคนในพื้นที่ขนานแท้ ที่ต้องการพัฒนาให้ชุมชนบ้านเกิดห่างไกลจากยาเสพติดและอาชญากรรม โดยมีแนวคิดว่าต้องเริ่มต้นปลูกฝังให้กับเด็ก ๆ ในชุมชน เพื่อจะได้เติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ


พระป๊อก คนค้นฅน

พระป๊อก คนค้นฅน


          พระป๊อกเริ่มสร้างทีมฟุตบอลเยาวชนขึ้นเมื่อ 20 ปีก่อน โดยชักชวนเด็ก ๆ ในชุมชนมาฝึกเล่นกีฬา พร้อมทั้งจัดการแข่งขันยุวธรรมลีกขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ที่ด้อยโอกาสได้ทำกิจกรรมที่พวกเขารัก รวมทั้งได้เข้าเรียนโรงเรียนกีฬาที่มีมาตรฐานด้วย

          สิ่งที่เห็นได้ชัดจากความพยายามของพระป๊อก หรือ ที่ชาวบ้านแถบนั้นเรียกกันว่า เจ้าป๊อก คือการทำให้เยาวชนที่เคยมีเรื่องมีราวกันมาก่อน ลืมความโกรธแค้นที่มี และกลับกลายมาเป็นเพื่อนร่วมทีมที่เข้าอกเข้าใจกันได้ ซึ่งท่านบอกว่าเป็นความภาคภูมิใจที่ถือว่าเดินมาถูกทางแล้ว ชาวบ้านในย่านนั้นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ท่านคือความหวังของชุมชนที่ทุกคนต่างไว้ใจ ท่านช่วยเหลือและพัฒนาเด็ก ๆ ในชุมชนได้อย่างเห็นผล เพราะเด็ก ๆ เหล่านั้นล้วนเติบโตอย่างมีพัฒนาการทางความคิดที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ไม่ไปมั่วสุมยาเสพติด ก่ออาชญากรรม หรือทะเลาะเบาะแว้งกันอีก

          แม้วันนี้จะได้ โค้ชพิพัฒน์ อารีการ มาคอยช่วยดูแลสอนฟุตบอลให้กับเด็ก ๆ แต่พระป๊อกก็ยังคงต้องทำหน้าที่ฝึกการเป็นประตูให้กับเด็ก ๆ เนื่องจากยังไม่มีโค้ชมาช่วยสอนในตำแหน่งนี้ ซึ่งท่านบอกว่า เมื่อก่อนท่านก็ลงมือสอนเด็ก ๆ ด้วยตัวท่านเอง เพราะยังหาโค้ชไม่ได้ เมื่อมีโค้ชมาช่วยแบ่งเบา ท่านก็ลดหน้าที่ลงมาสอนประตูแทน เพราะท่านก็ต้องสำรวมกิริยาด้วย บ่อยครั้งที่พระป๊อกต้องศึกษาวีซีดีการสอนฟุตบอล โดยเฉพาะการสอนตำแหน่งประตู เพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดให้กับเด็ก ๆ ซึ่งวีซีดีเหล่านั้นส่วนใหญ่ได้มาจากทีมฟุตบอลทีมอื่นที่ถวายมานั่นเอง

พระป๊อก คนค้นฅน


พระป๊อก คนค้นฅน

          แต่หากถามถึงความสวนทางกันระหว่างพระสงฆ์กับฟุตบอล พระป๊อก บอกว่าให้ดูที่เจตนา เพราะสิ่งที่ท่านทำอยู่ทุกวันนี้คือการทำเพื่อเด็ก ๆ ให้เรียนรู้ความมีระเบียบวินัย และน้ำใจนักกีฬา ไปพร้อม ๆ กับการมุ่งมั่นตั้งใจ ที่ทำให้ห่างไกลจากสิ่งยั่วยุ โดยพระป๊อกได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจสร้างสนามฟุตบอล และสถานที่เก็บตัวไว้สำหรับเด็ก ๆ ซึ่งการเข้าเก็บตัวท่านจะเป็นผู้เดินทางไปรับเยาวชนเหล่านั้นจากบ้าน เพื่อรับรองกับผู้ปกครองด้วยตนเอง

          และเมื่อเกือบทั้งหมดของคนในพื้นที่นั้นเป็นมุสลิม ท่านจึงจัดพื้นที่ภายในวัด ให้เด็ก ๆ ชาวมุสลิมที่มาเก็บตัวได้ทำละหมาดด้วย เพราะท่านเชื่อว่าศาสนาคือเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือสอนให้ทุกคนเป็นคนดี ดังนั้นสถานที่จึงเป็นเพียงสิ่งสมมุติที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้ว่าซีกไหนเป็น พุทธซีกไหนเป็นอิสลาม ในขณะที่เด็ก ๆ ทำพิธีละหมาด พระในวัดเองก็ทำวัตรเย็นไปได้พร้อม ๆ กัน


พระป๊อก คนค้นฅน


          นอกจากจะเก็บตัวฝึกหัดให้เด็ก ๆ ได้เล่นฟุตบอลแล้ว ตอนเช้าพระป๊อกยังปลุกเด็ก ๆ ชาวพุทธให้ออกไปเดินบิณฑบาตกับท่านด้วยเพื่อให้รู้จักคุณค่าของสิ่งที่ได้ รับจากชาวบ้าน รู้จักกินรู้จักใช้อย่างประหยัด อีกทั้งยังฝึกความเป็นระเบียบรู้จักตื่นให้เป็นเวลา และการต้องดูแลเด็ก ๆ หลายสิบชีวิต ก็ไม่ได้ทำให้พระป๊อกเหน็ดเหนื่อย ท่านกลับบอกว่าการที่พระอายุ 50 กว่า ต้องดูแลเด็ก ๆ วัยกำลังซนหลายสิบชีวิต มีการปรับตัวให้เข้าใจกัน มีความผูกพันกัน คือสิ่งที่ทำให้ท่านรู้สึกสดชื่น อีกทั้งการสอนฟุตบอลให้กับเด็ก ๆ นั้นไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อชัยชนะ แต่มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาจิตใจของเด็ก ๆ ต่างหาก

          แม้ว่าจะต้องดูแล คอยให้ความรู้ คอยสั่งสอนอบรมบ่มจิตใจกับเด็ก ๆ เยาวชน แต่พระป๊อก ก็ไม่ได้ละเว้นหน้าที่ในทางธรรม ท่านยังคงดูแลวัดป่าท่านุ่น และเผยแพร่ธรรมะแก่พุทธศาสนิกชนอยู่เสมอ ชาวบ้านแถวนั้นต่างก็ตื้นตันใจในสิ่งที่พระสงฆ์รูปนี้ทุ่มเทเพื่อวัดและคนใน ชุมชน เรียกได้ว่า พระป๊อก คือพระนักพัฒนาตัวจริง ที่ประสบความสำเร็จในการเข้าถึงเด็ก ๆ ในชุมชน และปลูกฝังความดีงามในจิตใจให้เยาวชนได้อย่างราบรื่น โดยไม่มีเส้นกั้นระหว่างศาสนาใด ๆ



<iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/PgxmMLcV4hs?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

คลิป พระป๊อก โค้ชฟุตบอลผ้าเหลือง ที่พึ่งของเยาวชน ใน รายการ คนค้นฅน

วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2557

ใจบันดาลแรง เรื่องของ (อดีต)หนุ่มอ้วน เนย อิทธิมนต์

 เมื่อจะกล่าวถึง "ธรรมะ" ที่ใช้ได้จริงแล้ว กล่าวเป็นอื่นไม่ได้เลยนอกจากการเอาชนะ"ใจ" ตัวเอง ซึ่งผู้เขียนก็เลยขอยกบทความดีดี ของหนุ่มคนนึงที่ใช้กำลังใจลดน้ำหนักได้สำเร็จอย่างที่ตั้งใจ ^^

เป็นข้อความจาก http://news.mthai.com/general-news/163979.html +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

Mthai News : กลายเป็นเรื่องที่ถูกส่งต่อกันอย่างมากมาย หลัง(อดีต)หนุ่มอ้วน เนย อิทธิมนต์ นำเรื่องลดน้ำหนักของตัวเองไปโพสในเฟสบุ๊คส่วนตัว และนำมาโพสต่อที่เว็บบอร์ดพันทิป โดยใช้หัวข้อเรื่องว่า “ผมเคย หนัก 140 โล ปัจจุบัน ผมเหลือ … !!”
และมีข้อความซึ่งอยากให้เป็นแรงบรรดาลใจ ให้ใครหลายคนได้ลดน้ำหนัก ดังนี้
ผมชื่อ เนย ครับ ผม หนัก 140 ผมเป็นคนชอบทานอาหารอร่อยๆ แบบตระเวน กินไปเรื่อยๆ
อยากให้ได้อ่าน เรื่องของผม ก่อนครับ
ก่อนอื่น ให้เข้าไป ดู ใน Facebook ของผมก่อนแล้วกันครับ
http://www.facebook.com/media/set/?set=a.312401695480555.76151.100001321817345&type=3
“มีวันหนึ่ง ผู้ชายคนนึง กำลังกินอย่างมีความสุข ในร้านอาหาร ญี่ปุ่น โดยกินแค่ ข้าว3ถ้วย ข้าวผัดกระเทียม1 ข้าวหน้าปลาดิบ สเตีกหมู ทาโกยากิ ราเมง แค่นี้เอง ไม่เยอะหรอก
พอเค้ากลับบ้านไป เค้ารู้สึกได้ ถึง ความตายอยู่ข้างหน้า ได้แต่พูดกับตัวเองว่า “ทำไม ทำไม กูหายใจไม่ออก” หลังจากนั้น เค้า หรือ ผมเอง ก็คิดได้ ถึงการลด น้ำหนัก
ก่อนหน้านั้นหนะหรอ ? ผมมีความสุข ในการที่ได้กินไปวันๆ แต่คุณ คุณ คิดว่าความสุขนั้นคือความสุขที่แท้จริงหรือเปล่า ?
ผมเจ็บทุกครั้ง ที่มีคนเรียกผมว่า “ไออ้วน” เจ็บทุกๆครั้งที่ เพื่อนๆ ทำอะไรได้ แต่ผมทำไม่ได้
พ่อและแม่ เคยบอกผมหลายครั้งว่า เนยลดเถอะ ผมตอบไปให้ไวว่า เห้ย ไม่ลด คนผอมบนโลกนี้เยอะแล้ว indy
ผมปลอบใจตัวเองทุกครั้ง กระจก ผมยังไม่ส่องเลย ผมได้แต่บอกข้ออ้างที่ว่า เห้ย กูมันลดยาก อ้วนง่าย ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ผมใช้เวลา ไม่ต่ำกว่า 10ปี สะสม ไขมัน มาเรื่อยๆ แต่ผมใช้ เวลา แค่ 8เดือน แค่ 8เดือน คุณอ่านไม่ผิดหรอก ลดจาก 140 ทั้งๆที่ผมไม่รู้ว่า:-)มากกว่า 140หรือเปล่า เพราะ ตราช่าง มัน limit เลขแค่ 140 ผมใช้เวลาแค่ 8เดือน ลดมาเหลือ 67 ผมลดไป มากกว่า73 กิโล ใช่ ใช่ ใช่ 73กิโลใน8เดือน คุณไม่ได้ตาฟาดไม่ต้องหาแว่นมาใส่
โดย ผมไม่กิน ยาลดความอ้วนเลย แม้แต่ 1 เม็ดไม่มี อาหารเสริม อะไรทั้งนั้น ที่สำคัญ คือ อะไร ? คือใจ ใจที่ไม่ยอมแพ้ ใจที่จะเอาชนะ ใจตัวเอง เท่านั้น เวลาผม ทรมาณ อยากกินผมแค่คิดว่า เห้ย ไม่กินวันนี้ พรุ้งนี้ หรือตอนเราผอม ร้านยังไม่เจ๊งก่อนหรอก ผอมค่อยกินมัน เราก็ไม่ตายหรอก
ผมไม่หวง สูตรลดนะครับ อยู่ที่ว่าผม พูดไป คุณ จะทำให้ชนะใจตัวเองได้ไหม แค่นั้น ถ้าไอคนไม่เอาถ่านแบบผมทำได้ มนุษย์บนโลกแคบๆของเรา ทุกคนทำได้เชื่อผม
พอได้หรือยัง กับข้ออ้างเดิมๆ ?
พอยัง กับความสุขแบบ หลอกตัวเองไปวันๆ ?
พอหรือยัง กับ ความทุกข์ ที่คุณ ต้องเก็บไว้ ?
สุดท้ายนี้ ผมอยากจะบอกว่า เลิกอ้างเถอะครับ เริ่มวันนี้ ชีวิตก็ดีขึ้น วันนี้
“พอเถอะ กับความสุข ที่หลอกตัวเองไปวันๆ”
…………………………………………………………………….
ภาพ เนย อิทธิมนต์

รูปนี้ คือผม ตอนก่อน ลด นน ครับด้านข้าง

รูปนี้ คือผม ตอนก่อน ลด นน ครับหน้าตรงครับ

รูปนี้ คือผม ตอนก่อน ลด นน ครับ

รูปนี้ คือผม ตอนก่อน ลด นน ครับหน้าตรงครับหน้าบ้างครับ

และแล้ว 1 เดือน ผมก็ ลงไป 130 กว่านิดๆ

110 – 100 เป็นช่วงที่ลด ยาก มากมายครับ ใจมันท้อ มาก

110 – 100 เป็นช่วงที่ลด ยาก มากมายครับ ใจมันท้อ มาก(เพิ่มเติม)

อาจจะเป็นเพราะ ผมให้รางวัลตัวเอง บ่อยไปหน่อย ก็เป็นได้ ฮ่าๆๆๆ

90-100 แล้วครับ ^^

75-80 ช่วงนี้ ก็ มีแรงฮึกมากๆ ครับ เพราะ ตั้งเป้า ไว้ ที่ 75
บอกตัวเองว่าจะหยุดลด พอใจ กับความผอมแค่นี้

แต่ ผมก็ไม่หยุด ครับ มันยังลดได้อีก นินาาาา ช่วง ไคล์แมกซ์ เลยครับ 70 – 75

และแล้ว ก็ มาถึง ผมใน ปัจจุบัน ครับ ^^ 66-68 kg !(1)

และแล้ว ก็ มาถึง ผมใน ปัจจุบัน ครับ ^^ 66-68 kg !(2)

และแล้ว ก็ มาถึง ผมใน ปัจจุบัน ครับ ^^ 66-68 kg !(3)

และแล้ว ก็ มาถึง ผมใน ปัจจุบัน ครับ ^^ 66-68 kg !(4)

และแล้ว ก็ มาถึง ผมใน ปัจจุบัน ครับ ^^ 66-68 kg !(5)

และแล้ว ก็ มาถึง ผมใน ปัจจุบัน ครับ ^^ 66-68 kg !(6)

ผมยังคงให้รางวัล ตัวเองเรื่อยๆ โดยไม่มีการ โยโย่ เอฟเฟค เลย ครับ
(จริงๆแล้วผมเป็นคนติด ไอติม มาก 55)

ลองเทียบกันดู ครับ แล้วก็ ภาพถ่าย กับน้อง คนเดิม

หลังจากดูรูป แล้ว มีคำถาม มากมายครับ ว่าผมลดได้ยังไง??
ผมจะบัญญัติไว้ 5 ข้อแค่นั้นครับ ทำตาม ผมเชื่อว่าทุกคน ลดได้
1. เปลี่ยนนิสัย
การเปลี่ยน วิถึชีวิต เปลี่ยน ลักษณะการคิด เกี่ยวกับการกิน กินให้ดี ขึ้น งดของไร้ประโยชน์
2. ออกกำลังกาย
ในช่วง 30โลแรก ผมว่ายน้ำครับ เป็นกีฬาที่ผมว่า ซอพสุด ว่าย 1 ชม ครับ ไปกลับ 50 เมตร ไม่หยุด พักได้ เซท ละ 1-2 นาที หลังจากนั้น ผมออกกำลังกาย โดยการวิ่งวันละ 2 ชมครับ แล้วก็ วิดพื้น ซิทอัพ ถ้าใครเป็น สมาชิค ฟิตเนส ยิ่งง่ายครับ
3. อย่าตามใจปาก
ความหิวกับความอยาก ต้องแยกกันให้ออกนะครับ
4.1 never skip breakfast
อาหารเช้า เป็น ส่วนสำคัญต่อ การเผาผลาญ มากครับ (ในแง่คิดของผม)
4.2 Drink a lot of water
ผม ตื่นมา ก็จะดื่มน้ำ อุณหภูมิห้องปกติ ประมาณ 2แก้ว ครับ สำคัญต่อ ระบบขับถ่าย (ในแง่คิดของผม)
4.3 less cabrohydrte more fiber
กินแป้งให้น้อยลงครับ แต่ห้ามงด นะครับ คนไทยเราทานข้าวเป็นหลักถ้างด จะทำให้เรา โหย แต่กินผักเพิ่มไปเยอะๆ นะคร้าบบ (เด็กดีต้องรับประทานผัก เยอะๆนะครับ ^^)
4.4 No soda or any snack
ตามนั้นเลยครับ ให้รางวัลตัวเองได้บ้าง แต่ กินแล้ว อย่าลืมไป เบิร์น ออกนะครับ
4.5 No buffet
กินพอ อิ่ม พองาม ครับ อย่าไป ถล่มร้านเค้า เหมือนที่ผม เคยเป็น ฮ่าๆ (แต่เวลากินนี้มีความสุขเป็นบ้า)
4.6 beat yourself
ไม่ต้องคิดว่าทำเพื่ออะไรครับ สุขภาพ และทั้งหมด มาจากตัว คุณเองล้วนๆ ชนะตัวเอง ก็พอแล้วครับ ลดมาก ลดน้อย ค่อยว่ากันเอาเป้นว่าเราลด
5. จงภูมิใจ ในตัวเอง
อยากให้ภูมิใจ ในตัวเอง ครับ คิดไว้ว่า คุณหล่อ คุณสวย คุณ คือคนที่กำลัง “ผอม” อย่าไปใส่ใจ ในคำสบประมาทใดๆ แต่ถ้า คุณ ชนะใจตัวเองได้ คุณก็ ชนะคนที่ว่าคุณ ถ้าคุณ ยอมแพ้ คุณก็คือคนแพ้
เรื่องอาหารการ กิน คนถามผมเยอะมากมายเลย นะจริงๆ
การกิน คือ ความสุขชนิดนึงปะ ?
เชื่อว่าทุกคนเห็นด้วย เพราะว่า มันชิลอะ เวลาอร่อยๆนะ ฟินเลยแหละ แต่รู้ไหมว่าที่เรากินไปเนี้ย อะโห้วว ระวังอ้วนนะตัวเธอ
อีกอย่างนะ การลดน้ำหนัก สำคัญที่ ห้าม หยุดมื้ออาหาร จำไว้ว่าเมื่อไหร่ที่โรคกระเพาะแพะ ถามหาคุณเนี่ย GAME OVER คุณต้องหยุดลด จนกว่า จะกลับมาปกตินะ
การกิน ผม แบ่งเป็น 3 มื้อ
เช้า ผมจะ กินของเบาๆให้ร่างกายมันบอกว่า เออ รู้แล้วว่ากิน เพื่อ รักษาน้ำย่อยในกระเพาะ ให้มัน ย่อยอาหาร ไม่ใช่ กระเพาะเรา
เช่นอะไรหละ นมไง ยาเคลือบกระเพาะชั้นดี เลยขอ บอก แต่แอบ กระซิบว่า เฉพาะ พร่องมันเนยนะครับ ซีเรียล ก็โอเค เลือกที่เป็น ธัยพืชนะครับ ไม่เอา แป้งๆนะ หวานๆ ก็ไม่เอานะ หาที่ เป็นพวก Fit อะไรงี้มี มียี่ห้อนึง ผมกินอยู่ มีเขียนว่า fit แต่ไม่บอก ยี่ห้อนะครับ มีขายตามห้างทั่วไป ผมกลัวเค้าจะมายิงผม 555
กลางวัน ! มื้ออร่อย ที่คุณเต็มที่กับมันได้
มื้อกลางวันผม แบ่ง แบบนี้นะ 10ส่วน 2โปรตีน 2คาร์โบไฮเดรต 3ผักต่างๆ 3ผมไม้ต่างๆ ลองเทียบ บัญญัติไตรยางค์ ดูนะครับ ว่า ควรกินอะไร แค่ไหน แต่ว่า ของที่กินเข้าไปทั้งหมด ควรพอดีๆ อื่ม แค่ 60-70%  เพราะเวลาดิ่มน้ำตาม จะทำให้อิ่มพอดี
เย็น งดทั้งหมด ยกเว้นผลไม้
ผลไม้ ทำให้อิ่มได้ ครับ แต่จะบอกว่า ต้องเป็นผลไม้ ที่เป็นกากใยนะ เช่น มะละกอ (ช่วยขับถ่ายดีมาก คล่องเลย55) แก้วมังกร อะไรแบบนี้ ผลไม้ ต้องห้าม คือ ขนุน ทุเรียน มะม่วงสุข แอปเปิ้ลแดง และพวก หวานๆ แป้งๆต่างๆ มันจะทำให้อ้วนนะระวังไว้เถอะ
ทำไมต้องเป็น แบบนี้ครับ ทั้งหมด เท่าที่ผมทำ มา ระบบขับถ่ายสำคัญมากๆนะ ถ้าไม่อยากใส้เน่า และ ทำแบบนี้คุณจะไม่เป็นโรคกระเพาะ แต่ สำคัญ คือ กินให้ตรงเวลานะครับ ใครจะทำไรปล่อยเค้า เรากินของเรา
ห้ามเสียดาย  ! ข้าวทุกจานอาหารทุกอย่าง มีคุณค่า อย่ากินทิ้งขว้างจริงงง
แต่ คุณกินให้พอดีสิ จะได้ไม่เหลือทิ้งขว้าง  ถ้าคุณอิ่มแล้ว ก็หยุดกินเถอะ อย่าเสียดายยัดนุ่นเข้าไป พุงจะกางเอาง่ายๆ
ขนม กรอบๆ น้ำอัดลม เลิกซะเถิด ไม่กินวันนี้ ไม่เป็นไร รอผอมก่อนนน
อย่างที่ผมเคยบอกไป อยากให้หยุดบุฟเฟต์ คิดแบบนี้นะจำไว้ ไม่กินวันนี้ ร้านยังไม่เจ๊ง หรอก รอ ผอมค่อยไปกินมัน ยังไม่สาย ขอให้ผอมกันถ้วนหน้า เด้อออ
แค่ขยับเท่ากับ ออกกำลังกาย
ผมพูดตรงๆนะว่า ผมเป็นคนนึง ที่เกลียดการออกกำลัง ทุกชนิด ยกเว้น เล่นบาส และ เทนนิส ซึ่ง ผมเล่นมาทั้งชีวิต จนอ้วนมากกก ก็ไม่ได้เล่น
พอถึงเวลาลด นน ผมคิดหนักเลย ตายละ จะเริ่มจากตรงไหนละวะครับเนี้ย เอาเป็นว่า ผมพูดถึงแต่ละช่วงน้ำหนักแล้วกัน
ตอนผม 140 ผมเชื่อเลยหละ ว่า วิ่งไม่ไหว แน่ๆ เข่าพัง ชัวร์ แล้วผมก็นั่งคิดว่า กีฬาอะไร ที่ ฟลูแอโรบิค และทำให้น้ำหนักลด จน ผมมาจบที่ว่ายน้ำ
ว่ายน้ำ เป็นกีฬาที่ใช้ ทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่ หัว จรดปลายเท้า ทำให้ คนอย่างผม พอจะลดได้ เพราะเวลาใคร ลงน้ำ ก็เบาหวิว ทั้งนั้น 555
ผมว่าย 2 ชมนะ เป็น เซท นะครับ ว่ายไปกลับ 50 เมตร กลับมา พัก 2นาที แล้วไปต่อ 2ชม นะครับห้ามหยุด แข็งใจหน่อยน้ำหนักลงเร็วมากๆ กับการว่ายน้ำ
มีคนถามมาเยอะมากว่า  ถ้าว่ายน้ำไม่เป็นละ ทำอย่างไร เนยแนะนำ นะครับ โยคะร้อน ลดไว กระชับ
ตอนผม 110
เริ่มวิ่ง ครับ วิ่ง อยู่กับที่ ที่บ้าน  2 ชม เซทละ 20นาที พัก 2นาที ให้ครบ 2ชมให้ได้ ระหว่างวิ่ง ก็ ดูทีวี ฟังเพลงไปครับ เพลินๆ แปปๆ หมด 2 ชม
สำหรับคนมีปัญหา เรื่อง หัวเข่า เนยแนะนำให้ ปั่นจักรยาน คนส่วนมาก ชอบบอกว่า ไม่นะ ปั่นแล้ว น่องโต คุณปั่นมัน ผิดวิธีครับ ที่คุณทำเรียก ถีบ จักรยาน ที่ผมทำเรียก ควงจักรยาน ซึ่งเป็นวิธีที่นักปั่น ทั่วโลกทำ ลองไปดูนั่งแข่ง จักยานนะครับ เรียวทั่งนั้น
ควงจักรยาน ทำอย่างไร? ง่ายๆครับ เริ่ม จากช้าๆก่อน ไล่รอบไปเรื่อยๆ หมุนไปเรื่อยๆให้มันเร็วขึ้นเรื่อยๆ แค่นี้เอง ไม่ต้องออกแรงมาก ขาเรียว สวยนางแบบ เลย 55
ถีบจักรยาน เป็นยังไง คือ การ ที่เราออกแรง ถีบมันตั้งแต่ ตอนนิ่งๆ ถีบเพื่อเพิ่มความเร็วมากๆ แบบนี้น่อง โป่งครับ กล้ามมา
ผมใช้ วิธี วิ่งตั้งแต่ 110-70 เลยนะ เล่นเวท ด้วย วิดพื้น ซิทอัพ
วิดพื้น จะได้ส่วนหน้าอกครับ และแขน ไหล่ ซิทอัพก็หน้าท้อง ง่ายๆ เวทก็ ตามสบายครับ ไหวแค่ไหน เล่นเป็นเซทๆ
วิดพื้น แบ่ง เป็น 5-10 เซท เซทละ 10-20 หรือไม่ก็เอา เท่าที่ไหว วิดจนปวดนะครับ เอาจนมันไม่ขึ้นแล้ว
ซิทอัพ เช่นกัน แบ่งเป็น จาก8 ไป12 ไป15-20  ครั้ง 4 เซทแล้วแต่ไหว เลยครับ แค่ไหนแค่นั้น
โยคะ ก็ เข้าคอสไปเลยครับ ไม่สันทัด เท่าไร แต่ว่า โยคะดีมากๆ ครับได้หลายๆอย่างเลย เหมาะสำหรับ ผู้ใหญ่นะครับผมว่า
การลดน้ำหนักเป็นเรื่อง ง่ายนะครับ ถ้าคุณออกกำลัง
ลองดูไหม ที่จะเดินขึ้น บันไดแทนลิฟท์  เดินตลาดดูไหม พาน้องหมาไปเดินเล่น เลิกใช้คนอื่นแล้วทำด้วยตัวเอง
จำไว้นะครับผม ว่า แค่ขยับ ก็ ออกกำลังแล้ว นิดๆหน่อยๆ ทำไปเถอะครับ
ปล. มีคนถามว่า วิ่ง น้อยกว่า  40นาทีได้ไหม ผมจะบอกว่า การวื่ง30-40 นาทีแรง ร่างกายเพิ่ง เริ่มเบิร์น นะครับ ถ้าหยุด ก็ที่วิ่งมาหมด ประโยชน์
ทั้งหมดต้องอยู่ที่ความ พอดีน้า ทำได้แค่ไหนแค่นั้น ห้ามหักโหม เอาเป็นว่า สุดๆเท่าที่จะทำได้นะครับ
แรงบันดาลใจ สำคัญ ไฉน?
แรงบันดาลใจ  คือสิ่งที่ผมคิดว่าสำคัญที่สุดแล้วนะ ในการลดน้ำหนัก มันมาจากไหนกัน? ก็ เหตุผลส่วนตัวครับ ของผมก็ หายใจไม่ออก จะเป็นจะตาย เอาวันนั้น  ของบางคนก็ จะจีบหญิงจีบหนุ่ม บางคนก็อกหักรักคุดตุ๊ดเมิน สาเหตุต่างๆกัน ล้วนสร้างแรงบันดาลใจ ทำให้คนสำเร็จได้นักต่อนักไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม คล้ายๆ กับ การที่เรา ตั้งเป้าหมาย แล้ว เพ่ง ไปที่เป้าหมาย แล้วเดินเข้าไปหามัน
then Focus on your ultimate goal !
วิธีสร้างแรงบันดาลใจ ในแบบของผม ผมเกือบไม่ได้ มานั่งเขียนตรงนี้แล้ว ฮ่าๆๆ แต่ก็รอดมาได้ครับ เพราะ พอผมตั้งเป้าหมายแล้ว ผมเดินเข้าหามันจริงๆ ไม่ได้ ปล่อยทิ้งปล่อยขว้างให้ สนิมเกาะ ฝุ่นเกรอะกรัง วิธี ง่ายๆนะครับ คือ คิดก่อนเราลดเพราะ อะไร? สุขภาพ ความรัก หน้าตา ความสำเร็จในชีวิต หรือต่างๆ พอเรารู้แล้ว ว่าเรา จะทำไปเพื่ออะไรก็ไปขั้นต่อไปเลยดีกว่า
อย่ารอความสำเร็จ อย่าได้รอให้มันเข้ามาหาเราครับ เราต้องสร้างมัน ทำมัน เหมือนเงินครับ ไม่มีตกมาจากฟ้า อยากได้ต้องทำงาน อยากได้ต้องแทงหวยกันไป นั่งอยู่เฉยๆ ไม่เกิดผล เหมือน การ ออกกำลังกายนั่นแหละครับ อยู่เฉยๆ น้ำหนักไม่ลด พาลแต่จะขึ้นเอา ต้องออกกำลัง สู้มันไปครับ แม้คุณจะขี้เกียจแค่ไหน เกลียดมันแค่ไหน เปลี่ยน ทัศนคติ เอามันมาเป็นเพื่อนรักให้ได้ เพื่อนคนนี้แหละครับ จะ ทำให้คุณดูดี หล่อ สวย เฟี้ยวเงาะ
เอาชนะ  หลังจาก เรามี แรงบันดาลใจแล้ว พร้อมแล้วไม่รออะไรแล้ว จะเริ่มวันนี้ ผมอยากให้คุณทุกคน มองมันเป็นถ้ำ ที่มีแสงสว่างข้างหน้า ไม่ว่า แสงนั้น จะเล็กแค่ไหน หาทางออกให้ได้ ระหว่างทาง อาจจะมี สัตว์ร้าย อาจจะมี อุปสรรค์ ให้คุณนึกถึงแรงบรรดาลใจ ที่คุณมี เอาชนะ มัน แล้วไปให้ถึงทางออก คุณจะรู้ว่า แสงสว่างที่เห็นเล็กๆนั้น จริงๆแล้วมันสวยงามและสว่างไสวเพียงไหน
สำหรับเนย ผมจะชั่งน้ำหนักทุกเช้า ครับ ชั่งเป็น LBS นะครับ จะละเอียดกว่า แล้วค่อยแปลงเป็น KG จดบันทึกทุกๆวัน ว่าเราหนักเท่าไรแล้ว ทุกวัน เวลาเดิม แต่งตัวให้คล้ายๆกัน ใครแก้ผ้า ก็แก้ไป ใคร บอกเซอร์ ก็บอกเซอร์ให้ตลอดนะครับ. ในระหว่างวัน เวลาผมอยากกินโน่นนี่ ในช่วงแรกๆ กิเลศ ที่มันเป็น สัตว์ร้าย อุปสรรค์ของผม ผมแค่ไม่สนใจมันครับ (พูดง่ายนะทำยาก) เพราะอะไรผมนึกถึงแรงบรรดาลใจของผม นั่นคือ แม่ กับ น้อง ที่ลดมาด้วยกัน ถ้าผมล้ม ทุกคนจะล้มตาม ไม่ได้ๆ ผมต้องทำให้ได้  เวลาจะไม่กิน ผมแค่คิดว่า พรุ่งนี้ก็ได้กิน แล้วเราต้องชนะมัน พอถึงเวลา ชั่งน้ำหนัก ในตอนเช้า เลขที่ขึ้นมา ทำให้ผม รู้ว่าเราลดไปอีก 1 ปอนด์ แล้วมันทำให้ผมรู้สึกว่า เห้ย สะใจหวะ เราชนะมันได้เราเก่งกว่าใจตัวเองเก่งกว่าความอยากไม่มีอุปสรรค์ไหนมาขว้าง จากความผอมกูได้หรอก กูเก่งมาก กูเทพ กูผอมลง เย่ เย่ เย่ เย่ สะใจโว้ยยยยยยยยยย !!!!
As I told you inspiration Motivation is most important part of your journey
!!!!  THEN AIM YOUR GOAL AND FOCUS ON IT  !!!!
ทัศนคติเนี้ยแหละ ทำให้ ไม่ โยโย่
โย่โย่เอฟเฟค คืออะไรครับ ? ในความคิดของคุณ
ผมว่าคนเข้าใจคำนี้ผิดนะ บ้างคน ไปพูดเรื่อง เนื้อห้อยเรื่อง ลงพุง สารพัด เลย
เอาจริงๆแล้ว ทางการแพทย์ หรือ ที่เป็น หลักการหน่อย เค้าหมายถึง
การ ลดน้ำหนัก ด้วยวิธีได้ ก็ ตาม ที่ทำให้ต่อมต่างๆ ส่วนต่างๆที่ซับซ้อน ของร้างกาย ทำงานผิดปกติ พอถึงจุดๆนึงที่ทำงานปกติแล้ว จึงทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นมา  ( งง มะ จากที่ผมไปหาอ่านมาผมยัง งง มันขัดต่อความคิดของเนยอย่างแรง)บ้างก็ ว่า โยโย่เอฟเฟค คือ การที่ เราควบคุมปริมาณ แคลลอรี่ เพื่อลด น้ำหนักเช่น สมมุติกิน 1200 แคล ออกกำลังไป 500 น้ำหนักลด ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ กินแล้วเผาผลาญ ย่อมน้ำหนักลด เพราะ ร่างกายใช้พลังงาน และไม่เหลือ อะไรให้ไปสะสม เป็นน้องไข แต่พอ ได้ที่และพอใจกับ การลดนน แล้ว ก็กลับมากินปกติ  จึงทำให้ น้ำหนักขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพราะไม่มีการเผาผลาญเกิดขึ้น และกินมากกว่า ที่เผาพลาญไป (ก็ไม่เมคเซนท์ อยู่ดีปะ)
หรือว่า
โยโย่คือ การที่ กินยาลดน้ำหนัก แล้วหยุด ทำให้ น้ำหนักกลับมา เป็นผลข้างเคียง ?
ผมไม่ค่อยเก่งเรื่องวิชาการเท่าไรครับ จากใจ เวลาผมอ่านเรื่อง ที่มันทางการๆหน่อยมักจะงง เชื่อว่าหลายคนเป็น เอาเป็นว่า ลองอ่านทัศนคติแบบ ผมดีกว่า
โยโย่คืออะไรในสายตาผม  
ผมคิดว่าการโยโย่ เกิดขึ้นง่ายมาก เพราะ ทัศนคติ ที่ผิด ต่อการลดน้ำหนัก เช่นกินยา หรือ เข้าสถาบันต่างๆ (ผมไม่ได้ว่าของพี่ไม่ดีนะครับ แค่มุมมอง) แต่จริงๆแล้ว การโยโย่เนี้ย มันเกิดเพราะ เราไม่เปลี่ยนนิสัย ไม่มีวินัย ในการใช้ชีวิต ต่างหาก หลายๆคนที่ลดได้ แล้ว กลับไปกินเท่าเดิม ย่อมกลับมาอ้วนแน่นอนครับ เพราะอาจจะคิดว่าลดง่าย ไม่เห็นเหนื่อย แค่กินยา แค่ ไปให้เค้านวด น้ำหนักก็ลด ผิดถนัดนะครับ อะไรที่ได้มาง่ายๆ ย่อมเสียไปง่ายๆ
ทำอย่างไรไร้โยโย่
1.เปลี่ยน ทัศนคติ
ให้คิดไว้เลยครับ ว่า ตอนนี้เรากำลังจะเป็นคนผอม สิ่งที่เราสมควรทำคือ ตั้งอยู่บนความพอดี ! อะไรที่เราทำตอนลดน้ำหนัก เราเหนื่อย เราท้อ เราสิ้นหวัง แต่เราผ่านมันมาได้ ! เราเป็นผู้ชนะมัน อย่าให้มัน มาทำร้ายเราได้อีก เราเหนื่อยแค่ไหน กว่าจะ ผอมได้ ฉนั้น ใช้ชีวิตเป็นคนปกติ อย่าใช้ชีวิตเป็นคนอ้วน
2.ออกกำลัง สม่ำเสมอ
การออกกำลังสม่ำเสมอนั้น ทำให้ได้เผาผลาญอะไรที่เป็นส่วนเกิน ออกไปบ้างครับ ไม่ต้องมากเท่าตอน ลดน้ำหนักหรอก แต่ว่า ถ้างดไป ผมไม่คอนเฟิมนะ ว่าคุณ จะผอมแบบนี้ตลอดไป
3.อาหารการกิน
อาหารการกิน มีส่วนสำคัญนะครับ ที่ทำให้ไม่กลับไปอ้วนอีก ยกตัวอย่างผม ลดมา 73กก กระเพาะผมคงขยายบานตะไท เท่าตู้เสื้อผ้า แต่พอผมลดน้ำหนักมา ผมคุมอาหาร 100%ไม่มีพลาด ทำให้ กระเพาะ ตู้เสื้อผ้าของผม กลับมาเป็น ถ้วยน้ำจิ้มเหมือนเดิม (ทุกวันนี้ต่อให้ผมยัดนุ่นแค่ไหน ก็กินได้ไม่เท่าเพื่อนผอมๆเลยด้วยซ้ำ)
4.ชั่งน้ำหนักทุกวัน
การชั่ง นน ทุกวัน ทำให้เราได้รู้ครับ ว่าอยู่จุดไหนแล้ว อ้วนไปยัง? ถ้ารู้ตัวจะได้ลดซะก่อนคนอื่นมาทักว่าเราเป็นตุ่มอีกครั้ง ถ้า น้ำหนักลด ก็จะได้รู้ ว่ามีอะไรผิดแปลกไป นอกจากเราตั้งใจจะลดมันหรือเปล่า?
5.เปลี่ยนนิสัยในการใช้ชีวิต ตั้งอยู่บนความพอดี !
นิสัย กิน จุกจิก ขี้เกียจ ชอบกินแหลก ชอบกิน น้ำอัดลมทุกมื้อ ขนมทุกคืน กินตอนกลางคืน เลิกเถอะครับ เพราะว่า นิสัยเหล่านี้ทำให้เราอ้วน ซึ่ง หลายๆอย่าง มันไม่ได้ดี ต่อตัวเองเลย ทานได้ ดื่มได้ครับ อยู่บนความพอดี ไม่เช่นนั้น กลับมา อ้วนอีกโทษใครไม่ได้เด้อ
6. ภูมิใจ !
ผมพูดอยู่เสมอๆ ครับว่าอยากให้ภูมิใจ ในตัวเองกัน เวลาเราสวยหล่อ เราผอมแล้ว ในเมื่อคุณมีความภูมิใจแล้ว ย่อมไม่กลับไปอ้วนแน่ๆ เพราะคุณ รู้แก่ใจ ว่า ชีวิตมันดีขึ้นแค่ไหน ลำบากแค่ไหนกว่าจะลดน้ำหนักลงมาได้ คุณต้อง เหนื่อย ต้องเจ็บ ต้องสู้กับตัวเอง  คุณชนะสิ่งที่ยากที่สุดคือตัวเองได้แล้ว อย่ากลับไปก้มหัวให้มันอีก เป็นครั้งที่สอง
ง่ายๆครับ 6 อย่างจำไว้ แล้วจะไม่มีโยโย่
จำไว้นะครับ ลดน้ำหนัก หนะง่าย มีหลาย พัน 108 วิธีลด แต่รู้ไหมว่า ส่วนที่ยากที่สุด คือหลังจากนั้นต่างหาก !
สู้ๆครับทุกคน คนไม่เอาถ่านแบบผมทำได้ คุณก็ย่อมทำได้
หลังจากที่ผม ลดได้แล้ว อะไรที่เปลี่ยนไป ?
ที่แน่ๆ คุณจะมั่นใจในตัวเองมากขึ้นครับ ทำอะไรคล่องตัว คล่องแคล้ว หาเสื้อผ้าใส่ง่าย ประหยัดเงินค่ากิน เพราะ กินน้อยลง (เกี่ยวไหม? 55 ) แล้วก็ ดึงดูดเพศตรงข้าม มากขึ้นแน่ๆครับ (อันนี้คงจะสำคัญสำหรับใครหลายๆคน ฮ่าๆ) เหงื่อ น้อยลง ทั้งๆที่ผมเป็นคนเหงื่อเยอะ ทุกวันนี้ถ้าไม่ร้อนมากกๆๆๆ ก็จะไม่ค่อยมี ทำอะไรก็ไม่ค่อยเหนื่อยเหมือนเมื่อก่อน   และ ภูมิใจ สะใจ
อย่างไรก็ตามสุดท้ายนี้ ถ้าใครมี ปัญหาอะไรอยากปรึกษาส่วนตัว ก็ ติดต่อผมได้นะครับ
จะพยายามตอบ ทุกๆคนเลยครับ ^^
Facebook : itthimon Punyarataban
Page : Big motivation by P_noel
“ขอบคุณ ครอบครัว ที่เป็นกำลังใจให้ผม เสมอมา เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่บอกให้ผมสู้ตลอดเวลา”
ปล. ลืมบอกไปครับ ผมลด มาพร้อม แม่ และน้องชาย ด้วยครับ
น้องผมจาก 102 เหลือ 75
แม่ผม ลด ประมาณ 18 โล ^^

วันอังคารที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2557

ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร พระธรรมเทศนา โดย พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)

[58]

1 มกราคม 2498
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส. (3 หน)

เอวมฺเม สุตํ.  เอกํ  สมยํ  ภควา พาราณสิยํ วิหรติ  อิสิปตเน  มิคทาเย.   ตตฺร โข ภควา ปญฺจวคฺคิเย ภิกฺขู อามนฺเตสิ
เทฺวเม ภิกฺขเว อนฺตา ปพฺพชิเตน น เสวิตพฺพา   โย จายํ กาเมสุ กามสุขลฺลิกานุโยโค  หีโน คมฺโม โปถุชฺชนิโก อนริโย อนตฺถสญฺหิโต    โย จายํ อตฺตกิลมถานุโยโค  ทุกฺโข อนริโย อนตฺถสญฺหิโต.    เอเต เต ภิกฺขเว อุโภ อนฺเต อนุปคมฺม มชฺฌิมา ปฏิปทา  ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา จกฺขุกรณี ญาณกรณี อุปสมาย อภิญฺญาย สมฺโพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติ.
กตมา จ สา ภิกฺขเว มชฺฌิมา ปฏิปทา ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา  จกฺขุกรณี ญาณกรณี อุปสมาย อภิญฺญาย สมฺโพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติ.    อยเมว อริโย อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค. เสยฺยถีทํ สมฺมาทิฏฺฐิ สมฺมาสงฺกปฺโป สมฺมาวาจา สมฺมากมฺมนฺโต สมฺมาอาชีโว สมฺมาวายาโม สมฺมาสติ สมฺมาสมาธิ.    อยํ โข สา ภิกฺขเว มชฺฌิมา ปฏิปทา ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา จกฺขุกรณี ญาณกรณี อุปสมาย อภิญฺญาย สมฺโพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติ.


ณ บัดนี้ อาตมภาพจักได้แสดงธรรมีกถา ในวันปัณณรสีที่ 15 ค่ำ ในเดือนยี่นี้ เป็น วันขึ้นปีใหม่ของทางสุริยคติ ผู้เทศน์ก็ต้องดำริหาเรื่องที่จะต้องแสดงให้สมกับวันขึ้นปีใหม่ เป็นวันแรก และเป็นวันมงคลของพระพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย วันนี้แหละถือว่าเป็นวันขึ้น ปีใหม่ เราจะทำอย่างไรจึงจะเป็นคนดี เรื่องนี้เรื่องที่เป็นมงคลดี-ไม่ดีนั้น พระองค์ทรงรับสั่ง ยืนยันตัดสิน ตั้งแต่ปีใหม่นี้เราต้องตั้งใจเด็ดขาดลงไป สมกับที่พระองค์จอมปราชญ์แสดง มงคลว่า อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา ปูชา จ ปูชนียานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เราต้องตัดสินใจเด็ดขาดลงไปว่า อเสวนา จ พาลานํ ไม่เสพสมาคมคบหาคนพาลเด็ดขาด ทีเดียว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตั้งแต่ได้อรุณวันนี้ ไม่เสพคบหาสมาคมกับคนพาลเป็นเด็ดขาด ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา จะเสพสมาคมคบหาแต่บัณฑิตเท่านั้น ปูชา จ ปูชนียานํ จะบูชาสิ่งที่ ควรบูชา เอตํ ติพฺพิธํ 3 ข้อนี้แหละเป็นมงคลอันสูงสุดคือจะไม่คบคนพาล คบแต่บัณฑิต บูชาแต่สิ่งที่ควรบูชา ตั้งใจให้เด็ดขาดลงไปอย่างนี้ อย่าลอกแลก ไม่เสพสมาคมกับคนพาล น่ะ ในตัวของตัวเองมีหรือ ซีกทางโลกเป็นซีกของ โลภ โกรธ หลง เป็นเหตุของคนพาล เป็นเหตุให้เกิดพาล ซีกทางธรรมเป็นซีกของ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เป็นเหตุของบัณฑิต เป็นเหตุให้เกิดบัณฑิต บูชาสิ่งที่ควรบูชา มั่นลงไปอย่างนี้นะ นี่วันนี้ปีใหม่เราต้องตั้งใจให้ เด็ดขาดลงไปอย่างนี้ เมื่อเด็ดขาดลงไปดังนี้ละก็ ตัดสินใจว่าเราดีแน่ นี่วันนี้ปีใหม่เราต้อง ตั้งใจให้เด็ดขาดลงไปอย่างนี้ เมื่อเด็ดขาดลงไปดังนี้ ไม่มีทุจริต ไม่มีชั่วเข้าไปเจือปนเลย เป็นซีกบัณฑิตแท้ๆ เหตุนี้แล เมื่อเป็นบัณฑิตแล้วสมควรจะฟังธรรมเทศนา
  

ในวันใหม่ปีใหม่ในทางสุริยคตินี้ พระจอมไตรอุบัติขึ้นในโลก ยังไม่ได้แสดงธรรมเทศนา กับบุคคลใดบุคคลอื่นเลย ได้แสดงปฐมเทศนาเป็นครั้งแรก โปรดพระปัญจวัคคีย์ วันนี้จะ แสดงปฐมเทศนาที่พระองค์โปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แคว้นเมือง พาราณสี บัดนี้เราจะฟัง ปฐมเทศนา ซึ่ง เป็นธรรมอันลุ่มลึกสุขุมนัก ไม่ใช่ธรรมพอดีพอร้าย และธรรมนี้เป็นตำรับตำราของพุทธศาสนิกชนสืบต่อไปด้วย ไม่ใช่เป็นเพียงแต่ว่าเป็น ปฐมเทศนาเท่านั้น เป็นตำรับตำราของพุทธศาสนิกชนทีเดียว ที่ผู้ปฏิบัติจะเอาตัวรอดได้ใน ธรรมวินัยของพระบรมศาสดา




เริ่มต้นแห่งปฐมเทศนาว่า เอวมฺเม สุตํ นี่ เป็นพระสูตรที่พระอานนท์เอามากล่าว ปฏิญาณตนเพื่อให้พ้นจากความเป็นสัพพัญญู ว่าตัวไม่ได้รู้เอง เพราะได้ยินได้ฟังมาจาก สำนักของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เอวํ อากาเรน ด้วยอาการอย่างนี้ เอกํ สมยํ ใน สมัย ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระผู้มีพระภาคผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์โลกทั้งหลาย ทรงประทับสำราญอิริยาบถ ณ สำนักมิคทายวัน แคว้นเมืองพาราณสี ครั้งนั้นพระองค์ทรงรับสั่งหาพระภิกษุปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 มารับสั่งว่า เทฺวเม ภิกฺขเว อนฺตา ปพฺพชิเตน น เสวิตพฺพา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่สุดทั้ง 2 อย่างนี้ อันบรรพชิตไม่ควรเสพ โย จายํ กาเมสุ กามสุขลฺลิกานุโยโค การประกอบตน ให้พัวพันด้วยกามในกามทั้งหลายนี้ใด หีโน เป็นของต่ำทราม คมฺโม เป็นเหตุให้ตั้งบ้าน เรือน โปถุชฺชนิโก เป็นคนมีกิเลสหนา อนริโย ไม่ไปจากข้าศึกคือกิเลสได้ อนตฺถสญฺหิโต ไม่เป็นประโยชน์ นี่คืออย่างหนึ่ง โย จายํ อตฺตกิลมถานุโยโค ทุกฺโข อนริโย อนตฺถสญฺหิโต การประกอบความลำบากให้แก่ตนเปล่านี้ใด กลับเป็นทุกข์แก่ผู้ประกอบด้วย ไม่ไปจาก ข้าศึกคือกิเลสได้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ นี้อย่างหนึ่ง เป็น 2 อย่างนี้ กามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค นี่เป็นตัวกามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค ทีเดียว




เอเต เต ภิกฺขเว อุโภ อนฺเต อนุปคมฺม มชฺฌิมา ปฏิปทา ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อปฏิบัติอันเป็นสายกลาง ไม่แวะเข้าใกล้ซึ่งที่สุดทั้ง 2 อย่างนี้นั้น อัน พระตถาคตเจ้าได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญายิ่ง และทำความเห็นให้เป็นปกติ เรียกว่า จกฺขุกรณี ญาณกรณี ย่อมเป็นไปพร้อม อุปสมาย เพื่อความเข้าไปสงบระงับ อภิญฺญาย เพื่อความรู้ยิ่ง สมฺโพธาย เพื่อความรู้พร้อม นิพฺพานาย เพื่อความดับสนิท กตมา จ สา ภิกฺขเว มชฺฌิมา ปฏิปทา ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ข้อปฏิบัติเป็นกลางนั้นที่พระตถาคต เจ้าตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นไฉน อยเมว อริโย อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค หนทางมีองค์ 8 ประการ ไปจากข้าศึกคือกิเลสได้ เสยฺยถีทํ คือ สมฺมาทิฏฺฐิ ความเห็นชอบ สมฺมาสงฺกปฺโป ความดำริชอบ สมฺมาวาจา กล่าววาจาชอบ สมฺมากมฺมนฺโต ทำการงานชอบ สมฺมาอาชีโว เลี้ยงชีพชอบ สมฺมาสติ ระลึกชอบ สมฺมาสมาธิ ตั้งใจชอบ นี่ประกอบด้วยองค์ 8 ประการ อยํ โข สา ภิกฺขเว มชฺฌิมา ปฏิปทา ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา จกฺขุกรณี ญาณกรณี อุปสมาย อภิญฺญาย สมฺโพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติ อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย ข้อปฏิบัติอันเป็นกลาง ที่พระตถาคตเจ้าตรัสรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง กระทำความเห็นให้เป็นปกติ กระทำความรู้ให้เป็น ปกติ ย่อมเป็นไปเพื่อความเข้าไปสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่งรู้พร้อมเพื่อพระนิพพาน




นี้หลักประธานปฐมเทศนา ทรงรับสั่งใจความพระพุทธศาสนาบอกพระปัญจวัคคีย์ ทั้ง 5 โดยตรงๆ ไม่มีวกไปทางใดทางหนึ่งเลย บอกตรงๆ ทีเดียว แต่ว่าผู้ฟังพอเป็นนิสัยใจคอ เป็นฝ่าย ขิปฺปาภิญฺญา เท่านี้ก็เข้าใจแล้วว่าธรรมของพระศาสดานี้ลึกจริง ถ้าว่าไม่เป็น ขิปฺปาภิญฺญา เป็น ทนฺธาภิญฺญา จะต้องชี้แจงแสดงขยายออกไปอีก จึงจะเข้าใจปฐมเทศนา พระองค์ทรงรับสั่งบอกพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ว่าที่สุดทั้ง 2 อย่างนั่นนั้น อันบรรพชิตไม่ควรเสพ ที่สุด 2 อย่างน่ะอะไร
เอาใจไปจรดในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส ที่ชอบใจนั้นแหละ หรือ ยินดีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่ชอบใจนั้นแล ตัวกามสุขัลลิกานุโยค ถ้าว่าเอาไปจรดรูปนั้นเข้าแล้ว จะเป็นอย่างไร ทุกฺโข เป็นทุกข์แก่ผู้เอาใจไปจรดนั้น หีโน ถ้าเอาใจไปจรดเข้ารูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่ชอบใจนั้น ใจต่ำ ไม่สูง ใจต่ำทีเดียว ใจมืดทีเดียว ไม่สว่างเพราะเอาไปจรดกับ อ้ายที่ชอบใจ ที่มัวซัวเช่นนั้น ถ้าไปจรดที่มืดมันก็แสวงหาที่มืดทีเดียว ไม่ไปทางสว่างละ นั่นน่ะจับตัวได้ เอาใจเข้าจรดกับรูป เสียง กลิ่น สัมผัส ที่ชอบใจ ชวนไปทางมืดเสียแล้ว ไม่ชวนไปทางสว่าง ปิดทางสว่างเสียแล้ว เมื่อเป็นอย่างนั้นท่านจึงได้ยืนยัน หีโน ต่ำทราม ไม่ไปทางนักปราชญ์ราชบัณฑิต ไปทางโลก ไปทางปุถุชนคนพาลเสียแล้ว หีโน ต่ำทราม ลงไปอย่างนี้ คมฺโม ถ้าไปจรดมันเข้าไม่สะดวก ทำให้ต้องปลูกบ้านปลูกเรือนให้เหมาะเจาะ มีฝารอบขอบชิดให้ดีจึงจะสมความปรารถนานั้น ไปเสียทางโน้นอีกแล้ว นั้นใจมันชักชวน เสียไปทางนั้นแล้วนั้น โปถุชฺชนิโก ก็หมักหมมสั่งสมกิเลสให้หนาขึ้นทุกที ไม่บางสักทีหนึ่ง นั่นแหละรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เข้ามาๆๆ เป็นตึกร้านบ้านเรือนกันยกใหญ่เชียวคราวนี้ แน่นหนากันยกใหญ่เชียว อนริโย ไม่ไปจากข้าศึกคือกิเลสได้ ไม่หลุดจากรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ไม่หลุดจากความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ติดอยู่นั่นเอง พระองค์ทรงรับสั่ง ว่า นี่ๆ พวกนี้ กามสุขัลลิกานุโยค ไปจากข้าศึกคือกิเลสไม่ได้ ไปไม่ได้ทีเดียว อนตฺถสญฺหิโต แล้วเป็นอย่างไรบ้าง ไม่มีประโยชน์เลย ถามคนแก่ดูก็ได้ที่ครอบครองเรือนมาแล้ว ที่ติดอยู่ใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสมาแล้ว ติดจนกระทั่งถึงแก่เฒ่าชรา ไปถามเถอะ ร้อยคนพันคน มายืนยัน บอกตรงทุกคน ทำไมจึงบอกตรงล่ะ แกวางก้ามเสียแล้วนะ บอกตรงซิ ถ้ายังไม่วาง ก้าม ยังกระมิดกระเมี้ยนอยู่ ยังจะนิยมชมชื่นอยู่ นั่นพระองค์ทรงรับสั่งว่า กามสุขัลลิกานุโยค ไม่มีประโยชน์อะไร อย่าเข้าไปติด ถ้าเข้าไปติดแล้วไปไม่ได้




นั่นว่า โย จายํ อตฺตกิลมถานุโยโค ทุกฺโข ประกอบความลำบากให้แก่ตนเปล่า ไร้ ประโยชน์ นี่ อตฺตกิลมถานุโยโค เป็นทุกข์แก่ผู้ประกอบ ไปจากข้าศึกคือกิเลสนั้นไม่ได้ ไม่ มี ประโยชน์อีกเหมือนกัน อัตตกิลมถานุโยคนั่นทำอย่างไร ประกอบความลำบากให้แก่ตน พวกประกอบความลำบากให้นั่นทำอย่างไร นอนหนาม ตากแดด ย่างไฟ ไม้เคาะหน้าแข้ง หาบทราย นี่พวกประพฤติดับกิเลส นอนหนาม ตากแดด ย่างไฟ ไม้เคาะหน้าแข้ง หาบทราย นอนหนาม หนามนั่นเจ็บ เสียความสงัดยินดีก็หายไปได้ เข้าใจว่าหมดกิเลส เป็นทางหมด กิเลส ตากแดดล่ะ เมื่อตากแดด แดดร้อนเข้าก็ไม่มีความกำหนัดยินดีเข้านะซิ เข้าใจว่ากิเลส ดับแล้ว นั่นความเข้าใจของเขา เข้าใจอย่างนั้น ย่างไฟล่ะ ย่างไฟมาจากแดด แดดไม่สะดวก ก็เอาไฟย่างมาก่อไฟ ก่อไฟถ่าน อยู่ข้างบนเข้าให้ นอนบนกองไฟ นอนบนไฟย่าง นอนบนไฟ นอนข้างบนร้อนรุ่มเหมือนอย่างกับไฟย่างนั้น ได้ชื่อว่าย่างไฟ ไม้เคาะหน้าแข้งล่ะ มีความ กำหนัดยินดีขึ้นมา ไม่รู้จะทำอย่างไร มันเดินก็ไม่ถนัด ขาแข็งไปหมด ไม้เคาะหน้าแข้งเปก เข้าไปให้เงียบ หายความกำหนัดยินดี ดับไป เอ้อ! นี่ดีนี่ ได้อย่างทันอกทันใจ ทีหลัง กำหนัดยินดี เวลาไหนก็เอาไม้เคาะหน้าแข้งเปกๆ เข้าไปให้อย่างหนัก นี้ความกำหนัดยินดีก็ หายไป อย่างนี้เป็นหมู่เป็นพวก ต้องทำเหมือนกัน เป็นหนทางดีทางถูกของเขา พวกไม้เคาะ หน้าแข้ง หาบทราย หาบทรายเหนื่อยเต็มที่ หมดความกำหนัดยินดี ควายเปลี่ยวๆ ยังสยบ เลย ถึงอย่างนั้น หาบทราย ไอ้ทรายกองใหญ่ที่พวกอัตตกิลมถานุโยคประพฤติตนปฏิบัติ อยู่นาน เข้ามาอาศัยกองใหญ่มหึมาทีเดียว หาบมาเอามากองเข้าไว้ หาบเข้ามากองไว้ใหญ่ มหึมา นั่นเพื่อจะทำลายกิเลส ดับกิเลส นี่เขาเรียกว่าอัตตกิลมถานุโยคทั้งนั้น ลักษณะ อัตตกิลมถานุโยค มีมากมายหลายประการ ที่ผิดทางมรรคผลปฏิบัติตนให้เหนื่อยเปล่า ไม่มี ประโยชน์ นั่นแหละอัตตกิลมถานุโยคทั้งนั้น ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อัตตถิลมถา- นุโยคเหมือนกัน เอาดีไม่ได้ เดือดร้อนร่ำไป นั่นอัตตกิลมถานุโยคเหมือนกัน อัตตกิลมถานุโยค เป็นอย่างไรล่ะ ร่างกายทรุดโทรมไปตามกัน ฆ่าตัวเอง ทำลายกำลังตัวเอง ตัดแรงตัวเอง นี่ งมงายอวดว่าฉลาด นึกดูที เอ้อ! เราไม่รู้เท่าทัน ถ้ารู้เท่าทัน ไม่ถึงขนาดนี้เลย เพราะไม่ได้ยิน ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ ไม่ได้ฝึกฝนใจทางพระพุทธเจ้าเลย ความรู้ไม่เท่าทัน จึงได้เป็นอัตตกิลมถานุโยคอยู่เช่นนี้ นี่เรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค



2 อย่างนี้ กามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค เลิกเสีย ไม่เสพ อย่าเสพ อย่าเอา ใจไปจรด อย่าเอาใจไปติด ปล่อยทีเดียว ปล่อยเสียให้หมด เมื่อปล่อยแล้วเดินมัชฌิมาปฏิปทา ข้อปฏิบัติอันเป็นกลาง ไม่แวะวงเข้าไปใกล้ซึ่งทางทั้ง 2 อย่างนั้น อันพระตถาคตเจ้าตรัสรู้ แล้ว ด้วยพระญาณอันยิ่ง นี่ข้อปฏิบัติเป็นกลางซึ่งเราควรรู้ กลางนี่ลึกซึ้งนัก ไม่มีใครรู้ ใครเข้าใจกันเลย ธรรมที่เรียกว่าข้อปฏิบัตอันเป็นกลางน่ะ ปฏิบัติแปลว่า ถึงเฉพาะซึ่งกลาง อะไรถึง ต้องเอาใจเข้าถึงซึ่งกลางซิ เอาใจเข้าไปถึงซึ่งกลาง กลางอยู่ตรงไหน กลางมีแห่งเดียว เท่านั้นแหละ เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์ ใจเราก็หยุดอยู่กลาง เมื่อเวลาเราจะหลับ ใจเราก็ต้อง ไปหยุดกลาง ผิดกลางหลับไม่ได้ ผิดกลางเกิดไม่ได้ ผิดกลางตายไม่ได้ ผิดกลางตื่นไม่ได้ ต้องเข้ากลางถูกกลางละก้อ เป็นเกิด เป็นหลับ เป็นตื่นกันทีเดียว อยู่ตรงไหน ในมนุษย์นี่ มีแห่งเดียวเท่านั้น ศูนย์กลางกายมนุษย์ สะดือ ทะลุหลังขึงด้ายกลุ่มเส้นหนึ่งตึง ได้ระดับ กรอบปรอททีเดียว สะดือทะลุหลังขึงด้ายกลุ่มเส้นหนึ่งตึง ขวาทะลุซ้ายขึงด้ายกลุ่มอีกเส้น ตึงอยู่ในระดับแค่กัน ได้ระดับกันทีเดียว ได้ระดับกันเหมือนแม่น้ำทีเดียว ระดับน้ำ หรือระดับ ปรอทแบบเดียวกัน เมื่อได้ระดับเช่นนั้นแล้ว ดึงทั้ง 2 เส้น ข้างหน้าข้างหลังตึง ตรงกลาง จรดกัน ตรงกลางจรดกันนั่นแหละ เขาเรียกว่า “กลางกั๊ก” ที่เส้นด้ายคาดกันไปนั่น กดลงไป นั่นกลางกั๊ก กลางกั๊กนั่นแหละถูกกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ใสบริสุทธิ์เท่าฟอง ไข่แดงของไก่ กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์นั่นแหละ แรกเรามาเกิดเอาใจหยุดอยู่ ตรงนั้น ตายก็ไปอยู่ตรงนั้น หลับก็ไปอยู่ตรงนั้น ตื่นก็ไปอยู่ตรงนั้น นั่นแหละเป็นที่ดับ ที่หลับที่ตื่น กลางแท้ๆ เทียว กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ใสบริสุทธิ์เท่าฟองไข่แดง ของไก่ กลางนั่นแหละ ตรงกลางนั่นแหละ ไปหยุดอยู่ที่ศูนย์กลางนั่นแหละ ได้ชื่อว่ามัชฌิมา มัชฌิมานะ พอหยุดก็หมดดีหมดชั่ว ไม่ดีไม่ชั่วกัน หยุดทีเดียว พอหยุดจัดเป็นบุญก็ไม่ได้ พอหยุดจัดเป็นบาปก็ไม่ได้ จัดเป็นดีก็ไม่ได้ ชั่วก็ไม่ได้ ต้องจัดเป็นกลาง ตรงนั้นแหละกลางใจ หยุดก็เป็นกลางทีเดียว นี้ที่พระองค์ให้นัยไว้กับองคุลิมาลว่า “สมณะ หยุด!” “สมณะ หยุด!” พระองค์ทรงเหลียวพระพักตร์มา สมณะหยุดแล้ว ท่านก็หยุด นี้ต้องเอาไปหยุดตรงนี้ หยุด ตรงนั้นถูกมัชฌิมาปฏิปทาทีเดียว พอหยุดแล้วก็ตั้งใจอันนั้นที่หยุดนั้น อย่าให้กลับมาไม่หยุด อีกนะ ให้หยุดไปท่าเดียวนั่นแหละ พอหยุดแล้วก็ถามซิว่า หยุดลงไปแล้วยังตามอัตตกิลม- ถานุโยคมีไหม ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ตัวรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ยินดีไหม ไม่มี นั่นกามสุขัลลิกานุโยคไม่มี ลำบากยากไร้ประโยชน์ (อัตตกิลมถานุโยค) ไม่มี หยุดตาม ปกติ ของเขาไม่มี ทางเขาไม่มีแล้ว เมื่อไม่มีทางดังกล่าวแล้ว นี่ตรงนี้แหละที่พระองค์ทรงรับ สั่งว่า ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา พระตถาคตเจ้ารู้แล้วด้วยปัญญายิ่ง ตรงนี้แห่งเดียวเท่านั้น ตั้งต้นนี้แหละจนกระทั่งถึงพระอรหัตตผล



ทีนี้จะแสดง วิธีตรัสรู้ เป็นอันดับไป ถ้าไม่แสดงตรงไม่รู้ ฟังปฐมเทศนาไม่ออกทีเดียว อะไรล่ะ พอหยุดกึกเข้าคืออะไร หยุดกึกเข้านั่นละ เขาเรียกใจเป็นปกติละ หยุดนิ่งอย่าขยับไป หยุดนิ่งพอถูกส่วนเข้าเท่านั้นแหละ กลางของนิ่งนั้นแหละ จะไปเห็น ดวงธัมมานุปัสสนา- สติปัฏฐาน เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ บริสุทธิ์สนิทดังกระจกคันฉ่องส่องเงาหน้า อยู่ในกลาง หยุดกลางนิ่งนั่นแหละ กลางนั่นแหละ พอเข้าถึงกลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก็หยุด นิ่งอยู่กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานอีกแบบเดียวกัน พอถูกส่วนเข้า จะเข้าถึง ดวงศีล เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เหมือนกัน หยุดอยู่กลางดวงศีลอีก เข้าถูกส่วน เข้ากลางดวงศีล นั่นเอง จะเข้าถึง ดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธินั่นแหละ ดวงเท่ากัน พอถูกส่วนเข้า เท่านั้น จะเข้าถึง ดวงปัญญา ดวงเท่ากัน หยุดอยู่กลางดวงปัญญานั่นแหละ พอถูกส่วนเข้า เท่านั้นแหละ เข้าถึง ดวงวิมุตติ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ พอถูกส่วนเข้าก็เข้าถึง ดวงวิมุตติ-ญาณทัสสนะ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ นั่นแหละ พอถูกส่วนเข้า เห็น กายมนุษย์ ละเอียด เห็นแจ่มแปลกจริง กายนี้เราเคยฝันออกไป เวลาฝันมันออกไป เมื่อไม่ฝัน มันอยู่ ตรงนี้เองหรือ ให้เห็นแจ่มอยู่ในกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ กลางตัวของตัวนั่น เห็นชัดเชียว อีกชั้นหนึ่งละนะ เข้ามาถึงนี้ละ นี่พระพุทธเจ้าเดินอย่างนี้ พักอย่างนี้ทีเดียว เอา เราเดินเข้า มาชั้นหนึ่งแล้ว เข้ามาถึงอีกชั้นหนึ่งแล้ว ต่อไปนี้ไม่ใช่หน้าที่ของกายมนุษย์หยาบละ เป็น หน้าที่ของกายมนุษย์ละเอียดทำไป


ใจกายมนุษย์ละเอียดก็หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ละเอียด แบบเดียวกันที่เดียว พอถูกส่วนก็เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดอยู่กลางดวงธัมมา-นุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงศีล หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วนเข้า เข้าถึง ดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงปัญญา หยุดอยู่กลางดวงปัญญา แบบเดียวกัน เข้าถึงดวงวิมุตติ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงวิมุตติญาณ- ทัสสนะ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้าก็เข้าถึง กายทิพย์ ที่นี่หมดหน้าที่ ของกายมนุษย์ละเอียดไปแล้ว

ใจกายทิพย์หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางกายทิพย์อีก ถูกส่วนเข้า เห็นดวงธัมมานุปัสสนา- สติปัฏฐาน หยุดอยู่กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้า เห็นดวงศีล หยุดอยู่ กลางดวงศีล ถูกส่วนเข้า เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเข้า เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้า เห็นดวงวิมุตติ หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้า เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า ก็เห็น กายทิพย์ละเอียด 

ใจกายทิพย์ละเอียดหยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางกายทิพย์ละเอียด ถูกส่วนเข้า เห็นดวง ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน แบบเดียวกัน หยุดอยู่กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน พอถูก ส่วนเข้า เห็นดวงศีล ดวงเท่ากัน หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงศีล ถูกส่วนเข้า เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเข้า เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้า เห็นดวงวิมุตติ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้า เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่ ศูนย์กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า เห็น กายรูปพรหม 

ใจกายรูปพรหมหยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหม ถูกส่วนเข้า เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดศูนย์กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้า เห็นดวงศีล หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วนเข้า เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูก ส่วนเข้า เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้า เห็นดวงวิมุตติ หยุดอยู่ ศูนย์กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้า เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติ- ญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า เห็น กายรูปพรหมละเอียด 

ใจกายรูปพรหมละเอียด หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหม ละเอียด นี้เป็นกายที่ 6 แล้ว พอถูกส่วนเข้า เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดอยู่ ศูนย์กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน พอถูกส่วนเข้า เห็นดวงศีล หยุดอยู่ศูนย์กลาง ดวงศีล พอถูกส่วนเข้า เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเข้า เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้า เห็นดวงวิมุตติ หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้า เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า เห็น กายอรูปพรหม

ใจกายอรูปพรหมหยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหม ถูกส่วน เข้า เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้า เห็นดวงศีล หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงศีล ถูกส่วนเข้า เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่ศูนย์ กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเข้า เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้า เห็น ดวงวิมุตติ หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้า เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่ ศูนย์กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า เห็น กายอรูปพรหมละเอียด 

หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหมละเอียด ถูกส่วนเข้า เห็น ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้า เห็นดวงศีล หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงศีล ถูกส่วนเข้า เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่ศูนย์กลางดวง สมาธิ ถูกส่วนเข้า เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้า เห็นดวงวิมุตติ หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้า เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่ศูนย์กลาง ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า เห็น กายธรรม รูปเหมือนพระพุทธปฏิมากร เกตุดอก บัวตูม ใสเป็นกระจกคันฉ่องส่องเงาหน้า หน้าตักโตเล็กตามส่วน ไม่ถึง 5 วา หย่อนกว่า 5 วา นี่เรียกว่า กายธรรม



กายธรรมนี่เรียกว่าพุทธรัตนะ นี่พระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้ได้อย่างนี้ นี่ปฐมยาม ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างนี้ทีเดียว เป็นตัวพระพุทธรัตนะอย่างนี้ นี่พระพุทธเจ้าท่าน ตรัสรู้ขึ้นอย่างนี้ นี่ปฐมยามได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างนี้ทีเดียว เป็นตัวพระพุทธเจ้า ทีเดียว รูปเหมือนพระปฏิมากรเกตุดอกบัวตูม ใสเป็นกระจกคันฉ่องส่องหน้า ที่ทำรูปไว้ นี่แหละ นี่แหละตัวพระพุทธเจ้าทีเดียว แต่ว่ากายเป็นที่ 9 กายที่ 9 เป็นกายนอกภพ ไม่ใช่กายในภพ ทำไมรู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า ก็ทำรูปไว้ทุกวัดทุกวาจะไม่รู้ว่าเป็นพระพุทธ- เจ้าอย่างไร ทำตำราไว้อย่างนี้ ก่อนเราเกิดมาเป็นไหนๆ ก็ทำไว้อย่างนี้ ปรากฏอย่างนี้แหละ ตัวพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทีเดียว ตัวพุทธรัตนะทีเดียว อ้อ! นี่เข้าถึงพุทธรัตนะ เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว ที่ท่านรับรองว่า ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา ตถาคเตน แปลว่า ตถาคต ธรรมกายน่ะ แต่ว่าธรรมกายนั้นท่านทรงรับสั่งว่า ธมฺมกาโย อหํ อิติปิ เราพระตถาคต ผู้ เป็นธรรมกาย ตถาคตสฺส วาเสฏฺฐ เอตํ ธมฺมกาโยติ วจนํ คำว่า ธรรมกายน่ะ ตถาคตแท้ๆ ทรงรับสั่งอย่างนี้ เข้าถึงธรรมกายแล้วนี่ตถาคตทีเดียว รู้ขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว ปรากฏขึ้นแล้ว

ต่อไปนี้เรามาเป็นธรรมกายดังนี้ รู้จักทางแล้ว ใจธรรมกายก็หยุดนิ่งที่ศูนย์กลาง ดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกาย ดวงธรรมของธรรมกายวัดเส้นผ่าศูนย์กลางเท่าหน้าตัก ธรรมกาย กลมรอบตัว ใสเกินกว่าใส ใจธรรมกายก็หยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้ เป็นธรรมกาย หยุดนิ่งพอถูกส่วน ถึงดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เท่าดวงธรรมนั้น หยุด อยู่กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้าก็เห็นดวงศีล หยุดอยู่กลางดวงศีล พอถูกส่วนเข้าก็เห็นดวงสมาธิ หยุดนิ่งอยู่กลางดวงสมาธิ เห็นดวงปัญญา หยุดนิ่งอยู่กลาง ดวงปัญญา ก็เห็นดวงวิมุตติ หยุดนิ่งอยู่กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้าก็เห็นดวงวิมุตติญาณ- ทัสสนะ หยุดนิ่งอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า ก็เห็น ธรรมกายละเอียด หน้าตัก 5 วา สูง 5 วา เกตุดอกบัวตูม ใสหนักขึ้นไป ธรรมกาย หยาบเป็นพุทธรัตนะ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกาย วัดผ่าเส้นศูนย์กลางเท่าหน้าตักธรรมกายเป็นธรรมรัตนะ ธรรมกายละเอียดอยู่ในกลางดวงธรรมรัตนะ นั่นแหละเป็นสังฆรัตนะ ดังนี้ อยู่ในตัว ที่อื่นไม่มี ทุกคนมีอยู่ในตัวของตัว ผู้หญิงก็มี ผู้ชายก็มี เช่นเดียวกันทุกคน นี่แหละพุทธรัตนะ ธรรม- รัตนะ สังฆรัตนะ เมื่อรู้จักดังนี้ เมื่อท่านเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นเช่นนี้แล้ว นี้เป็นโคตรภูแล้ว ท่านก็สำเร็จขึ้นไปอีก 8 ชั้น ท่านก็เป็นพระอรหันต์ไปอยู่กับพระพุทธเจ้าทีเดียว 



พอเป็นสัพพัญญูพุทธเจ้า ก็ท่านเอาเรื่องนี้มาแสดงกับพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ให้ พระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ฟัง ท่านแสดงเรื่องของท่านว่า อันเราตถาคตเจ้าตรัสรู้แล้วด้วยปัญญา อันยิ่ง ท่านทำความเห็นเป็นปกติ เห็นอะไร ตาอะไร ตาพระพุทธเจ้า ตาธรรมกาย มีตา ตาดีนัก เห็นด้วยตาธรรมกายนั่นแหละ จกฺขุกรณี ทำให้เห็นเป็นปกติ เห็นความจริงหมด ญาณกรณี กระทำความรู้ให้เป็นปกติ ญาณของท่าน

เมื่อท่านเป็นมนุษย์ ส่วนดวงวิญญาณของท่านก็เล็กเท่าดวงตาดำข้างในของท่าน เมื่อท่านขึ้นไปเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ตาของท่านก็มีเหมือนเราเช่นนี้ ตาธรรมกาย มีญาณ ของธรรมกาย มีดวงวิญญาณนั่นแหละกลับ เป็นดวงญาณใหญ่โตมโหฬาร ใหญ่โตขึ้น ดวงใส เท่าดวงตาดำ ข้างในแหละที่มีความรู้อยู่ในใจนี้แหละเขาเรียกว่าดวงวิญญาณ พอไปเป็น ธรรมกายเข้าแล้วกลับเป็นดวงญาณทีเดียว วัดผ่าเส้นศูนย์เท่าหน้าตักธรรมกาย ดวงญาณ เท่าหน้าตักธรรมกาย นั้นแหละเรียกว่า จกฺขุกรณี เห็นเป็นปกติ เห็นด้วยตาธรรมกาย เห็น อะไร เห็นเบญจขันธ์ทั้ง 5 ในมนุษย์โลกนี้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของมนุษย์ ของมนุษย์ละเอียด รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของกายทิพย์ ของกายทิพย์ละเอียด เห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของกายรูปพรหม-รูปพรหมละเอียด, อรูปพรหม-อรูปพรหมละเอียด เห็นเบญจขันธ์ทั้ง 5 ของ 8 กายนี้ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นจริง เห็นด้วยตาธรรมกาย เห็นไม่เที่ยงจริงๆ เห็นจริงอย่างนี้ ตามนุษย์เห็นไม่ได้ ตา 8 กาย ในภพนี้เห็นไม่ได้ กาย มนุษย์ก็ไม่เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กายมนุษย์ละเอียดก็ไม่เห็น กายทิพย์ก็ไม่เห็น กายทิพย์ละเอียดก็ไม่เห็น กายรูปพรหมก็ไม่เห็น กายรูปพรหมละเอียด ก็ไม่เห็น อรูปพรหมก็ไม่เห็น อรูปพรหมละเอียดก็ไม่เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นไม่ได้ ตามันไม่ดี ตามันไม่ถึงขั้นที่จะได้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทำไมไม่ถึงขนาดเล่า ก็มัน ขั้นสมถะนี่ กายมนุษย์-กายมนุษย์ละเอียด, กายทิพย์-กายทิพย์ละเอียด, กายรูปพรหม-กายรูปพรหมละเอียด, กายอรูปพรหม-กายอรูปพรหมละเอียด นี่มันขั้นสมถะ แต่รูปฌาณ เท่านั้น เลยไปไม่ได้ พอถึงกายธรรมมันขั้นวิปัสสนา ตาพระพุทธเจ้าท่านก็เห็นเบญจขันธ์ ทั้ง 5 เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แท้ๆ เห็นจริงๆ จังๆ อย่างนั้นละ เห็นแท้ทีเดียว เห็นชัดๆ ไม่ได้เห็นด้วยตากายในภพ เห็นด้วยตาธรรมกาย รู้ด้วยฌาณธรรมกาย เห็นด้วยตาพระ พุทธเจ้า รู้ด้วยญาณพระพุทธเจ้า เห็นอย่างนี้แหละเห็นด้วยตาของพระตถาคตเจ้า รู้ด้วย ญาณของพระตถาคตเจ้า ธรรมกายนั่นเป็นตัวของพระตถาคตเจ้าทีเดียว ไม่ใช่อื่น เห็นชัด อย่างนี้นี่แหละ เห็นอย่างนี้แหละเขาเรียกวิปัสสนา เห็นเบ็ญจขันธ์ทั้ง 5 เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา 



เห็นเป็นอนิจจังน่ะเห็นอย่างไร เห็นตั้งแต่กายมนุษย์เกิด กายมนุษย์เกิดไม่อยู่ที่ เกิดเรื่อยๆ เกิดริบๆ เหมือน ไฟจุดอยู่ มีไส้ มีน้ำมัน มีตะเกียง จุดมันก็ลุกโพลง เราเข้าใจ ว่าไฟดวงนั้นเป็นอย่างนั้นแหละ ไอ้กายมนุษย์มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ แต่ตาธรรมกายไม่ เห็นอย่างนั้น เห็นไฟเก่าหมดไป ไฟใหม่เดินเรื่อยขึ้นมา ไฟเก่าหมดไปไฟใหม่เดินเรื่อย ขึ้นมา แล้วก็เอามือคลำดูข้างบน ก็รู้ ร้อนวูบๆๆๆ ไป อ้อ! ไฟใหม่เกิดเรื่อย กายมนุษย์นี้ก็ เช่นเดียวกัน ไอ้เก่าตายไป ไอ้ใหม่เกิดเรื่อย หนุนไม่ได้หยุดเหมือนไฟ เหมือนดวงไฟ อย่างนั้นแหละ ไม่ขาดสาย มันเกิดหนุนอย่างนั้น นั่นเห็นขนาดนั้น เห็นเกิดเห็นตายเรื่อย เกิดแล้วก็ตายไป เกิดแล้วก็ตายไป ไม่มีหยุดละ เหมือนกันหมดทั้งสากลโลก เห็นทีเดียวว่า มีแต่เกิดกับดับ ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่ง ทั้งปวงมีความเกิดเป็นธรรมดา ย่อมมีความเกิดเสมอ สิ่งทั้งปวงมีเกิดเสมอ มีความดับเสมอ มีเกิดกับดับ 2 อย่างเท่านั้น หมดทั้งสากลโลก เห็นด้วยตาธรรมกาย รู้ด้วยญาณธรรมกายจริงๆ อย่างนี้ นี้ทำวิปัสสนา เห็นจริงเห็นจังอย่างนี้


ขันธ์ 5 อายตนะ 12 ก็แบบเดียวกัน สมุปาทยธมฺมํ เห็นตลอดขันธ์ 5, อายตนะ 12, ธาตุ 18, อินทรีย์ 22, อริยสัจ 4, ปฏิจจสมุปบาทธรรม 12, แปดดวงนี้เห็นตลอด หมด เห็นจริงเห็นจังทีเดียว เห็นด้วยตาธรรมกาย รู้ด้วยญาณธรรมกาย รู้ชัดอย่างนี้ นี้เรียกว่า สํวตฺตติ ย่อมเป็นด้วยพร้อม อุปสมาย เพื่อ ความสงบเมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว ความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ไม่มี สงบหมด หายไปหมด เงียบฉี่เชียว ที่ยินดีถอนไม่ออก เงียบฉี่ เชียว อภิญฺญาย รู้ยิ่งทุกสิ่งทุกอย่าง สมฺโพธาย รู้พร้อมรู้จริงทุกสิ่งทุกอย่าง นิพฺพานาย ดับ หมด ราคะ โทสะ โมหะ ดับหมด ปรากฏอย่างนี้ ดังความจริงอย่างนี้ นี่ที่ไปถึง พระตถาคตเจ้าอย่างนี้ ไปถึงธรรมกายเช่นนี้ ไม่ได้ไปทางอื่นเลย ไปทางปฐมมรรค ไปกลาง ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ดวงศีลคืออะไร ดวงศีลนะคือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว อริยมรรค 3 องค์ นั้นเรียกว่าดวงศีล ดวงสมาธิ : สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ อริยมรรคอีก 3 องค์ ดวงปัญญา : สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป เป็นแปด องค์ในอริยมรรคนั้นทั้งสิ้นอยู่ในนั้น จึงได้ เข้าถึงธรรมกายนี้ได้ ถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ แท้ๆ นี้แหละ ให้แน่วแน่ลงไว้ เราก็ เกิดมาประสพพบพระพุทธศาสนา พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ไม่ได้ถึงตัวจริงของ ศาสนาไม่ได้ มีตัวจริงศาสนา นี่แก่นศาสนาอยู่ในตัวของเราเป็นลำดับของกายเข้าไป อย่าไปทางอื่นนะ ไม่ได้ ต้องไปทางหยุดทางเดียว จะยุ่งยากอย่างหนึ่งอย่างใดเข้าให้ถึง หยุด ให้ถูกส่วน หยุดให้เข้ากลาง หยุดให้ถูกเป้าหมายใจดำของพระพุทธศาสนา ทำตามที่พระองค์ รับสั่งไว้ในปฐมเทศนา ให้แน่นอนอย่างนี้ จะได้เข้าถึงตัวจริงเช่นนี้ ถ้าเข้าถึงตัวจริงเช่นนี้แล้ว ก็พึงรู้ อ้อ! ที่แสดงมานี้ เว้นเสียจากที่สุดทั้ง 2 สิ่ง ไม่เสพที่สุดทั้ง 2 นั้น เดินตามมัชฌิมาปฏิปทาไป ทางศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ไปเป็นลำดับนั้น จึงเข้าถึงตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า เป็นตถาคตเจ้าแท้ๆ ดังที่ได้แสดงมานี้ตั้งแต่ต้นจนอวสานนี้ ผู้มีปรีชาญาณ มนสิการกำหนดไว้ในใจทุกคน ทุกถ้วนหน้า



วันนี้เป็นวันปีใหม่ ได้แสดงปฐมเทศนา พระองค์ทรงตรัสเทศนาเป็นเบื้องต้น เป็น ทีแรกเรียกว่าปฐมเทศนา พอเป็นเครื่องประคับประคองฉลองศรัทธา ประดับสติปัญญา คุณสมบัติของท่านพุทธบริษัท คฤหัสถ์ บรรพชิต บรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า ว่าเราท่านทั้งหลายผู้เป็นเมธีมีปัญญาต้องการสิ่งที่เป็นมงคล ต้องการความเจริญแล้ว ตั้งใจ ให้แน่แน่ว ให้ถึงพระรัตนตรัย วันนี้เป็นวันใหม่ ชั่วร้ายด้วยกายวาจาใจตัดขาด อย่ากระทำ ทำใจให้หยุดให้ถูกเป้าหมายใจดำทางพระพุทธศาสนา ที่ได้ชี้แจงแสดงมา มนุษย์แท้ๆ ถึงจะ ไม่เข้าใจ อย่างดีมนุษย์ธรรมดาเห็นจะดีกว่าค้างคาวแน่ ฟังเทศน์เอาบุญกัน ไม่ฟังเทศน์เอา เรื่องเอาราวกัน คนแก่คนเฒ่าเป็นอย่างนั้น คนที่สนใจฟังธรรมจริงๆ เรียนธรรมจริงๆ รู้ธรรม จริงๆ เป็นอีกพวกหนึ่ง ต้องเรียนเอาเรื่องเอาราวกันจริงๆ จึงจะปฏิบัติธรรมกันในพระพุทธศาสนาได้ ดังนี้


ที่ชี้แจงแสดงมานี้ เป็นตำรับตำราแน่นอนในทางพระพุทธศาสนา ตามวาระพระบาลี คลี่ความเป็นสยามภาษา ตามมตยาธิบาย พอสมควรแก่เวลา นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ สิ่งอื่น ไม่ใช่ที่พึ่งอันประเสริฐของเราท่านทั้งหลาย สรณํ เม รตนตฺตยํ พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอัน ประเสริฐของเราท่านทั้งหลาย เอเตน สจฺจวชฺเชน ด้วยอำนาจความสัตย์ที่ได้อ้างธรรมปฏิบัติ มาตั้งแต่ต้นจนอวสานนี้ สทา โสตฺถี ภวนฺตุ เต ขอ ความสุขสวัสดีจงบังเกิดแก่ท่านทั้งหลาย บรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า อาตมภาพชี้แจงแสดงมาพอสมควรแก่เวลา ขอ สมมติยุติธรรมีกถาโดยอรรถนิยมความเพียงเท่านี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้.



)


"เหตุแห่งความไม่มีโรค" บันทึกธรรมเมื่อ 14/2/2557

พระมหาสันติสุข สุปภาโส เมตตาแสดงธรรมในหัวข้อ "เหตุแห่งความไม่มีโรค" ณ ห้องชมรมพุทธดีแทค ซึ่งมีเนื้อหาตามที่บันทึกได้ ดังนี้...

วิธีทำให้เป็นผู้ไม่มีโรค

1. รักษาศีล 5 เพื่อความผาสุขในภพชาติต่อๆ ไป
1.1 ไม่ฆ่า การที่เราฆ่าสัตว์เล็กๆ น้อยๆ ก็จะเป็นหวัดคัดจมูก นำ้มูกไหล เป็นต้น ชาติก่อนเคยไปทำร้ายใครตรงอวัยวะส่วนไหน เราก็จะเป็นโรคตรงอวัยวะนั้น
1.2 ไม่ลักขโมย แต่ถ้าเราออกเงินกู้ดอกโหด ก็จะเป็นโรคเกี่ยวกับเลือด
1.3 ไม่ประพฤติผิดในกาม ถ้าผิดศีลข้อนี้ กามโรคถามหา
1.4 ไม่มุสา โรคเกี่ยวกับปากทั้งนั้น เช่น กลิ่นปากชฟันเก ฟันคุด ฟันเหยิน... พูดดีฟันก็สวย เป็นต้น
1.5 ศีลข้อ 5 (ไม่ดื่มนำ้เมา) ใครไม่รักษา ก็เป็นโรคจิตโรคประสาท ดาวน์ซินโดรม
...เพราะฉะนั้น ให้รักษาให้ดี...

2. อย่าไปยินดีในคราวเคราะห์ของชาวบ้านเขา เช่น พระพุทธองค์เมื่อครั้งทรงเป็นพระโพธิสัตว์เห็นชาวประมงฆ่าปลา พระโพธิสัตว์มีใจยินดีกับการฆ่าปลานั้น พระองค์ยังทรงปวดพระเศียร

3. ทำบุญเฉพาะ เช่น
3.1 ถวายยารักษาโรค
3.2 สร้างห้องนำ้ถวาย ทุกข์หมดไปความสบายเกิดขึ้น
3.3 ถวายภัตตาหาร ถือว่าให้กำลังในการสร้างความดี

ตัวอย่างของผู้ได้อานิสงส์
พระ พากุละ คลอด 2 หน ท่านเกิดที่เมืองโกสัมพี ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ตระกูลก็มีแต่ความเจริญ ครอบครัวมีความเชื่อว่าถ้าไปอาบนำ้ที่แม่นำ้ยมุนาจะดี เกิดมาได้ 5 วัน โกนหัว ตั้งชื่อ แล้วให้พี่เลี้ยงพาไปอาบนำ้ที่แม่นำ้ยมุนา ปลาเห็นว่าเป็นเหยื่อ จึงมาฮุบไป ผู้มีบุญอยู่ในท้องก็ไม่ตาย แต่ปลามันก็ร้อนรนทนไม่ได้ มันก็ว่ายไปเรื่อยๆ 480 กิโลเมตร ไปถึงเมืองพาราณสี แล้วไปติดอวนชาวประมง ชาวประมงเอาไปขาย 1,000 กหาปณะ ก็ไม่มีคนซื้อ จนไปถึงบ้านเศรษฐีจึงซื้อไว้ ภรรยาผ่าท้องปลามาเจอเด็กก็รู้สึกรัก เป็นการเกิดครั้งที่ 2 ของท่าน นางเที่ยวประกาศหาพ่อแม่ เมื่อไม่มี พระราชาจึงให้เศรษฐีนำไปเลีิ้ยง

ระ หว่างนั่้นพ่อแม่แท้ๆ ทราบข่าว จึงเดินทางด้วยเรือ 4 เดือนมาตามลูกคืน แต่พ่อแม่ที่เจอท่านในตัวปลาไม่ยอม พระราชาจึงตัดสินให้เลี้ยงฝ่ายละ 4 เดือน เดินทางอีก 4 เดือน ท่านถูกเลี้ยงเป็นอย่างดีจาก 2 ตระกูล จนกระทั่งอายุ 80 โดยไม่เคยป่วย ไม่เคยไอ ไม่มีโรคเลย

ขณะ นั้น เจ้าชายสิทธัตถะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เมื่อท่านทราบข่าวจึงไปเข้าเฝ้าฯ มีศรัทธา และขอบวชเป็นพระภิกษุ และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ท่านเป็นภิกษุอยู่อีก 80 ปี รวมอายุ 160 ปี โดยที่ท่านไม่มีความลำบาก และ ไม่มีโรคเลย

บุพกรรมในอดีต ท่านเคยปรุงยารักษาพระพุทธเจ้าพระนามว่าอโนมธัสสี แล้วอธิษฐานจิตให้ไม่มีโรค
ส่วนอีกชาติ ในสมัยพระปทุมุตระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้ตั้งความปรารถนาเป็นเอตทัคคะด้านผู้มีโรคน้อย
ต่อมาในสมัยพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้ปรุงยาถวายพระอรหันต์ 6 ล้าน 8 แสนรูป ที่อาพาธจากละอองเกสรดอกไม้
และ ในสมัยพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้สร้างห้องนำ้ถวายพระสงฆ์ เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ทำเพื่ออนาคต แต่ถ้าเป็นโรคแล้ว....
1. ให้ชีวิตสัตว์เป็นทานบ่อยๆ ปล่อยปลา ปล่อยโค
2. อุทิศส่วนบุญกุศลให้คู่กรรมคู่เวร ทั้งที่เจตนาไม่เจตนา แล้วอธิษฐานจิตให้เราแข็งแรง หายจากโรคภัยไข้เจ็บ
3. สั่งสมบุญเฉพาะบางโรค เช่น พระนางโรหินีเป็นโรคผิวหนัง พระอนุรุธพี่ชายจึงแนะนำให้นางสร้างหอฉัน และไปทำความสะอาดหอฉัน ต่อมานางก็หาย เป็นต้น
4. เข้าถึงธรรม จะไปตัดวิบากกรรมทุกอย่าง

จบการแสดงธรรม
(ขอบคุณและอนุโมทนากับต้นฉบับบันทึกธรรมของพี่วรรณครับ)

วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2557

โพชฌงคปริตร พระธรรมเทศนา โดย พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)



[36]
4 มิถุนายน พ.ศ. 2497

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส. (3 หน)
ยโตหํ ภคินิ อริยาย ชาติยา ชาโต   นาภิชานามิ สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา โวโรเปตา.   เตน สจฺเจน โสตฺถิ เต  โหตุ โสตฺถิ คพฺภสฺส.
โพชฺฌงฺโค สติสงฺขาโต ธมฺมานํ วิจโย ตถา
วิริยมฺปีติปสฺสทฺธิ- โพชฺฌงฺคา จ ตถาปเร
สมาธุเปกฺขโพชฺฌงฺคา สตฺเต เต สพฺพทสฺสินา
มุนินา สมฺมทกฺขาตา ภาวิตา พหุลีกตา
สํวตฺตนฺติ อภิญฺญาย นิพฺพานาย จ โพธิยา
เอเตน สจฺจวชฺเชน โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทา
เอกสฺมึ สมเย นาโถ โมคฺคลฺลานญฺจ กสฺสปํ
คิลาเน ทุกฺขิเต ทิสฺวา โพชฺฌงฺเค สตฺต เทสยิ
เต จ ตํ อภินนฺทิตฺวา โรคา มุจฺจึสุ ตํขเณ
เอเตน สจฺจวชฺเชน โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทา
เอกทา ธมฺมราชาปิ เคลญฺเญนาภิปีฬิโต
จุนฺทตฺเถเรน ตญฺเญว ภณาเปตฺวาน สาทรํ
สมฺโมทิตฺวา จ อาพาธา ตมฺหา วุฏฺฐาสิ ฐานโส
เอเตน สจฺจวชฺเชน โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทา
ปหีนา เต จ อาพาธา ติณฺณนฺนมฺปิ มเหสินํ
มคฺคาหตกิเลสา ว ปตฺตานุปฺปตฺติธมฺมตํ
เอเตน สจฺจวชฺเชน โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทาติ
ณ บัดนี้อาตมภาพจักได้แสดงความจริงความสัตย์ ซึ่งปรากฏชัดตามตำรับตำราอันมี มาในโพชฌงคปริตร จะแสดงตามวาระพระบาลี คลี่ความเป็นสยามภาษา ตามมตยาธิบาย พอเป็นเครื่องปฏิการสนองประคองศรัทธา ประดับสติปัญญาคุณสมบัติของท่านผู้พุทธบริษัท ทั้งคฤหัสถ์บรรพชิต บรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า
เริ่มต้นธรรมเทศนาว่า ยโตหํ ภคินิ อริยาย ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สญฺจิจฺจ ปาณํ เป็น อาทิ นี้เป็นคำของพระอังคุลิมาลเถรท่านแสดงไว้ ท่านเชิดความจริงความสัตย์ของท่าน ให้พุทธบริษัทจำไว้เป็นเนติแบบแผน เมื่อครั้งหนึ่งพระองคุลิมาลเถร ไปพบหญิงปวดครรภ์ เต็มที่ จะคลอดบุตร แต่มันคลอดไม่ออก มันจะถึงกับตาย ร้องให้พระองคุลิมาลเถรช่วย พระองคุลิมาลเถรจึงได้เปล่งวาจาช่วยหญิงคลอดบุตรนั้นว่า ยโตหํ ภคินิ อริยาย ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา โวโรเปตา เตน สจฺเจน โสตฺถิ เต โหตุ โสตฺถิ คพฺภสฺส. แปลเป็นสยามภาษาว่า ดูก่อนน้องหญิง ตั้งแต่เราเกิดแล้วโดยชาติเป็นอริยะ ไม่ มีใจแกล้งเลย ที่จะปลงสัตว์ที่มีชีพและชีวิต ด้วยความสัตย์อันนี้ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ขอความสวัสดี จงมีแก่ครรภ์ของท่าน พอขาดคำเท่านี้ หญิงนั้นคลอดบุตรผลุดทีเดียว หายจากทุกข์ภัยกัน การคลอดบุตรเมื่อคลอดเสียแล้ว มันก็หายทุกข์หายภัย หายลำบากแก่มารดาผู้คลอด เหมือน ท้องผูกถ่ายอุจจาระไม่ออก มันก็เดือดร้อนแก่เจ้าของ แต่พอออกมาเสียแล้วก็หมดทุกข์กัน นี้ ด้วยความสัตย์อันนี้แหละ คลอดบุตรก็ง่ายเต็มที นี่บทต้น
บทที่ 2 รองลงไป นี่พระองค์ทรงรับสั่งเองว่า โพ ชฺฌงฺโค สติสงฺขาโต ธมฺมานํ วิจโย ตถา วิริยมฺปีติปสฺสทฺธิโพชฺฌงฺคา จ ตถาปเร สมาธุเปกฺขโพชฺฌงฺคา สตฺเต เต สพฺพทสฺสินา มุนินา สมฺมทกฺขาตา ภาวิตา พหุลีกตา สํวตฺตนฺติ อภิญฺญาย นิพฺพานาย จ โพธิยา เอเตน สจฺจวชฺเชน โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทา. แปลเป็นสยามภาษาว่า โพชฌงค์ 7 ประการ คือ สติสัมโพชฌงค์ ประการหนึ่ง, ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ประการหนึ่ง, วิริยสัมโพชฌงค์ ประการ หนึ่ง, ปีติสัมโพชฌงค์ ประการหนึ่ง, ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ประการหนึ่ง, สมาธิสัมโพชฌงค์ ประการหนึ่ง, อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ประการหนึ่ง เหล่านี้ อันพระมุนีเจ้าผู้ทรงเห็นธรรม ทั้งปวง กล่าวไว้ชอบแล้ว ภาวิตา พหุลีกตา อันบุคคลเจริญธรรมให้มากแล้ว สํวตฺตนฺติ ย่อม เป็นไปพร้อม อภิญฺญาย เพื่อความรู้ยิ่ง นิพฺพานาย เพื่อนิพพาน โพธิยา เพื่อความตรัสรู้ ด้วยความสัตย์อันนี้ ด้วยความกล่าวสัตย์อันนี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านทุกเมื่อ นี่เป็นบทต้น ของโพชฌงค์
บทที่ 2 รองลงไป เอกสฺมึ สมเย นาโถ โมคฺคลฺลานญฺจ กสฺสปํ คิลาเน ทุกฺขิเต ทิสฺวา โพชฺฌงฺเค สตฺต เทสยิ เต จ ตํ อภินนฺทิตฺวา โรคา มุจฺจึสุ ตํขเณ เอเตน สจฺจวชฺเชน โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทา. เอกสฺมึ สมเย ในสมัยอันหนึ่ง นาโถ พระ โลกนาถเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็น พระโมคคัลลานะและพระกัสสปะอาพาธถึงซึ่งความเวทนาแล้ว ทรงแสดงโพชฌงค์ทั้ง 7 ประการ ท่านทั้ง 2 คือพระโมคคัลลานะกับพระกัสสปะ ยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า โรคก็หายไปในขณะนั้น ด้วยอำนาจความกล่าวสัตย์อันนี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านในกาล ทุกเมื่อ
บทที่ 3 ต่อไป เอกทา ธมฺมราชาปิ เคลญฺเญนาภิปีฬิโต จุนฺทตฺเถเรน ตญฺเญว ภณาเปตฺวาน สาทรํ สมฺโมทิตฺวา จ อาพาธา ตมฺหา วุฏฺฐาสิ ฐานโส เอเตน สจฺจวชฺเชน โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพาทา. เอกทา ครั้งหนึ่ง ธมฺมราชาปิ แม้พระธรรมราชาคือพระพุทธเจ้าผู้เป็น เจ้าของธรรม เคลญฺเญนาภิปีฬิโต ผู้อันอาพาธเบียดเบียนแล้ว จุนฺทตฺเถเรน ตญฺเญว ภณาเปตฺวาน ทรงรับสั่งให้พระจุนทเถรแสดงซึ่งโพชฌงค์นั้นแหละ พระองค์ทรงสดับโพชฌงค์ เช่นนั้นแล้ว ร่าเริงบันเทิงพระทัย อาพาธก็หายไปโดยฐานะอันนั้น เอเตน สจฺจวชฺเชน ด้วย อำนาจความสัตย์อันนี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านทุกเมื่อ
บทที่ 4 ต่อไป ปหีนา เต จ อาพาธา ติณฺณนฺนมฺปิ มเหสินํ มคฺคาหตกิเลสา ว ปตฺตานุปฺปตฺติธมฺมตํ เอเตน สจฺจวชฺเชน โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทาติ. อาพาธ ทั้งหลายเหล่า นั้น อันท่านผู้แสวงหาซึ่งคุณอันยิ่งใหญ่ทั้ง 3 ท่าน ละได้แล้ว ถึงซึ่งความไม่เกิดขึ้นอีกเป็น ธรรมดา ดุจกิเลสอันมรรคบำบัดแล้ว หรืออันมรรคกำจัดแล้ว ด้วยอำนาจสัจจวาจานี้ ขอ ความสวัสดีจงมีแก่ท่านทุกเมื่อ นี่แปลมคธเป็นสยามภาษาฟังเพียงแค่นี้ ท่านผู้แปลบาลีฟัง ออก เข้าใจแล้ว แต่ว่าท่านผู้ไม่ได้เรียนอรรถแปลแก้ไขยังไม่เข้าใจ ต้องอรรถาธิบายลงไปอีก ชั้นหนึ่ง
ในบทต้นว่าพระองคุลิมาลเถรเจ้า ท่านเป็นผู้กระทำบาปหยาบช้ามากนัก ก่อนบวชใน พระธรรมวินัยของพระศาสดา ฆ่ามนุษย์เสีย 999 ชั้นต้นก็ทำดีมา ได้เล่าเรียนศึกษาวิชา จวนจะสำเร็จแล้ว ถูกอาจารย์ลงโทษจะทำลายชีวิตเสีย เกิดต้องทำกรรมหยาบช้าลามก เศร้าโศกเสียใจเหมือนกัน ฆ่ามนุษย์เกือบพัน 999 คน พระทศพลเสด็จไปทรมานองคุลิมาลโจรนั้น ละพยศร้าย กลับกลายบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน ชาวบ้านชาวช่องกลัวกันนัก ขึ้นชื่อว่าองคุลิมาลโจรละก้อ ซ่อนตัวซ่อนเนื้อทีเดียว กลัวจะทำลายชีวิตเสีย กลัวนักกลัวหนา กลัวยิ่งกว่าเสือยิ่งกว่าแรด ไปอีก เพราะเหตุว่าองคุลีมาลโจรผู้นี้เป็นคนร้ายสำคัญ ถ้าว่าจะฆ่าใครแล้วไม่กลัวใครทั้งนั้น ฆ่าแล้วตัดเอาองคุลีไปร้อย จะไปเรียนวิชาเป็นเจ้าโลก เมื่อจำนนฤทธิ์พระบรมศาสดาเข้า ยอมบวชในพระธรรมวินัยของพระศาสดาแล้ว บวชแล้วไปบิณฑบาต หญิงท้องแก่ท้องอ่อน ไม่เข้าใจ พอได้ยินข่าวว่าพระองคุลิมาลมาละก้อ ซ่อนเนื้อซ่อนตัว วิ่งซุกวิ่งซ่อนกัน ได้ข่าว ว่าหญิงท้องแก่ลอดช่องรั้ว ลูกทะลักออกมาทีเดียว ด้วยกลัวพระองคุลิมาล คราวนี้ท่านไป ในที่สมควร หญิงที่กำลังจะคลอดบุตรอยู่นั่นหนีไม่พ้น ไปไม่ได้ ก็ร้องให้องคุลิมาลช่วย พระองคุลิมาลเป็นพระอรหันต์แล้ว สงสารหญิงที่กำลังคลอดบุตรนั้น ก็กล่าวคำสัตย์คำจริง ขึ้นว่า ยโตหํ ภคินิ ฯลฯ ว่า ดูก่อนน้องหญิง เราเมื่อได้เกิดแล้วโดยชาติเป็นอริยะ ไม่ได้แกล้ง ปลงสัตว์จากชีวิตเลย ด้วยความกล่าวสัตย์อันนี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ขอความสวัสดี จงมีแก่ครรภ์ของท่าน ขาดคำเท่านี้หญิงนั้นคลอดบุตรผลุดทีเดียว นี่ยกข้อไหนให้จำไว้เป็น ตำรับตำรา เป็นภิกษุก็ดี เป็นอุบาสกอุบาสิกก็ดี ในพระธรรมวินัยของพระศาสดา ในศาสนา ของพระพุทธเจ้า นี้เป็นคำของพระอรหันต์ พระองคุลิมาลท่านเป็นพระอรหันต์เสียแล้ว ท่านจะกล่าวถ้อยคำว่าตั้งแต่ท่านเกิดมาไม่ได้ฆ่าสัตว์เลยนะ ไม่ได้มีใจแกล้งฆ่าสัตว์เลยนะ ท่านกล่าวไม่ได้ ท่านเป็นคนร้ายมา พึ่งกลับมาเป็นคนดีเมื่อได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว เมื่อเกิดเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านจึงได้ชี้ชัดว่า จำเดิมแต่เราเกิดแล้วโดยชาติเป็นอริยะ ไม่ได้ แกล้งปลงสัตว์จากชีวิตเลย นี่ความจริงของท่าน ท่านยกเอาความจริงอันนี้แหละขึ้นเชิดที่ ท่านเป็นผู้ประเสริฐ เป็นอริยบุคคลในธรรมวินัยของพระศาสดา ขอความจริงอันนี้แหละ จงบันดาลเถิด ท่านขอความจริงอันนี้ อธิษฐานด้วยความจริงอันนี้ พอขาดคำของท่านเท่านั้น ลูกคลอดทันที นี่ความสัตย์ยกความจริงขึ้นพูด
ไม่ใช่แต่พระองคุลิมาลเท่านั้นที่ยกความจริงขึ้นพูด หญิงแพศยาทำฤทธิ์ทำเดชได้ ยกความจริงขึ้นพูดเหมือนกัน หญิงแพศยาคนหนึ่ง พระเจ้าแผ่นดินยกพยุหเสนาไปพักอยู่ที่ แม่น้ำใหญ่ ว่ายข้ามก็จะไม่พ้น น้ำไหลเชี่ยวเป็นฟอง ไหลปราดทีเดียว เมื่อเขาตั้งพลับพลา ให้พักอยู่ที่คันแม่น้ำใหญ่เช่นนั้น ท่านทรงดำริว่า แม่น้ำใหญ่ไหลเชี่ยวขนาดนี้ จะมีใครผู้ใด ผู้หนึ่งอาจสามารถจะทำให้น้ำไหลกลับได้บ้าง ทรงดำริดังนี้ รับสั่งแก่มหาดเล็กเด็กชาของ พระองค์ มหาดเล็กเด็กชาของพระองค์ก็ไปเที่ยวป่าวร้องหาว่าผู้ใดใครผู้หนึ่งอาจสามารถ ทำให้น้ำในแม่น้ำนี้ไหลกลับขึ้นได้บ้าง หญิงแพศยาคนหนึ่งรับทีเดียว ว่าฉันเองจะทำให้ น้ำไหลกลับได้ เพราะนางเป็นแพศยาก็จึงมั่นใจว่าชายคนใดไม่ว่าชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นต่ำ ให้เงินเพียงค่าบาทหนึ่ง ปฏิบัติเพียงเท่านี้ ให้เงินค่า 2 บาท ปฏิบัติเพียงเท่านี้ 3 บาท ปฏิบัติเพียงเท่านี้ พอแก่ค่าของเงินเท่านั้น เหมือนกันไม่ได้ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นต่ำ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ทำไปตามหน้าที่ของตัว ความสัตย์มีอย่างนี้ นางเมื่อ ราชบุรุษพาไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินทรงรับสั่งว่า เจ้าหรือ อาจจะทำให้น้ำไหล กลับได้ พะย่ะค่ะ หม่อมฉันอาจสามารถจะทำให้น้ำไหลกลับได้ เจ้าจะต้องการอะไร ธูปเทียนดอกไม้จะหาให้ ถ้าเจ้าทำน้ำให้ไหลกลับได้ตามคำกล่าวของเจ้าแล้ว เราจะรางวัล ให้หนักมือทีเดียว ถ้าว่าเจ้าทำน้ำไหลกลับไม่ได้ เจ้าจะมีโทษหนักทีเดียว นางจุดธูปเทียนตั้ง สัตยาธิษฐานหันหน้าไปทางด้านแม่น้ำ ยกเอาความสัตย์นั่นเองอธิษฐานว่า เดชะปุญญาภินิหารความสัตย์ความจริงของหม่อมฉันได้สั่งสมอบรมมา ตั้งแต่เป็นหญิงแพศยา ได้ปฏิบัติ ชายผู้หนึ่งผู้ใดที่มาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าปฏิบัติโดยค่าควรแก่บาทหนึ่ง ควรแก่ 2 บาท ควร แก่ 3 บาท ตามหน้าที่ ความจริงทำอยู่ดังนี้ ไม่ได้เคลื่อนคลาดไปแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าว่าความสัตย์จริงอันนี้ของหม่อมฉัน จริงดังหม่อมฉันอธิษฐานดังนี้แล้ว ขออำนาจความ สัตย์นี้ จงบันดาลให้น้ำไหลกลับโดยฉับพลันเถิด พออธิษฐานขาดคำเท่านั้น น้ำไหลกลับอู้ ไหลลงเชี่ยวเท่าใดก็ไหลขึ้นเชี่ยวเท่านั้นเหมือนกัน พอกันทีเดียว พระเจ้าแผ่นดินเห็นอัศจรรย์ เช่นนั้น ก็ให้เครื่องรางวัลแก่หญิงแพศยานั่นอย่างพอใจ ให้เป็นนายหญิงแพศยาต่อไป แล้ว ก็ให้บ้านส่วยสำหรับพักพาอาศัยอยู่ไม่ขาดตกบกพร่องใดๆ ละ เป็นสุขสำราญเบิกบานใจ ทีเดียว หญิงแพศยาผู้นั้น
นี่ความสัตย์โดยความชั่วยังเอามาใช้ได้ ส่วนพระองคุลิมาลเถรเจ้านี้ ท่านยกสัตย์ ที่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ขึ้นอธิษฐาน หญิงคลอดบุตรไม่ออก พอขาดคำ หญิงคลอดบุตร ผลุดออกไป อัศจรรย์อย่างนี้ นี่ใช้ความสัตย์อย่างนี้ ติดขัดเข้าแล้ว อย่าเที่ยวใช้เรื่องเลอะๆ เหลวๆ บนผีบนเจ้า นั่นไม่ได้ยินได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์เลย พวกนั้นไม่ได้ ฟังธรรมของสัตบุรุษเลย ความเห็นจึงได้เลอะเทอะเหลวไหลเช่นนั้น ไม่ถูกหลักถูกฐาน ถูกทางพุทธศาสนา ถ้าว่ารู้จักหลักทางพุทธศาสนาแล้ว ต้องยกความขึ้นพูดความสัตย์ความ จริง นั่นเป็นข้อสำคัญ ถ้าความบริสุทธิ์ของศีลมีอยู่ ก็ต้องยกความบริสุทธิ์นั่นแหละขึ้นพูด หรือความบริสุทธิ์ของสมาธิมีอยู่ ก็ยกความบริสุทธิ์ของสมาธิขึ้นพูดขึ้นอธิษฐาน หรือแม้ว่า ความจริงของปัญญามีอยู่ก็ยกความจริงของปัญญานั้นขึ้นอธิษฐาน หรือความสัตย์ความจริง ความดีอันใดที่ทำไว้แน่นอนในใจของตัว ให้ยกเอาความดีอันนั้นแหละขึ้นอธิษฐาน ตั้งอก ตั้งใจ บรรลุความติดขัดทุกสิ่งทุกประการ ให้รู้จักหลักฐานดังนี้
นี่ในเรื่องพระองคุลิมาลเถรเจ้าเป็นสาวกของพระบรมศาสดา พระศาสดาทรงรับสั่ง ไว้ในโพชฌงคกถา หรือ โพชฺฌงฺคปริตฺตํ นั้น ปรากฏว่า โพชฌงค์ทั้ง 7 ประการ ตั้งแต่ สติสัมโพชฌงค์ จนกระทั่ง อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ทั้ง 7 ประการเหล่านี้แหละ อันพระมุนีเจ้า ผู้เห็นธรรมทั้งสิ้น ได้กล่าวไว้ชอบแล้ว ถ้าว่าบุคคลใดเจริญขึ้นกระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไป เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อนิพพาน เพื่อความตรัสรู้ ความจริงอันนี้ ด้วยความกล่าวสัตย์อันนี้แหละ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านทุกเมื่อ ข้อนี้เป็นข้อสำคัญ สติสัมโพชฌงค์ เราจะพึงปฏิบัติ อย่างไร จึงจะได้บรรลุมรรคผลสมมาดปรารถนา ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์
สติสัมโพชฌงค์ เราต้องเป็นคนไม่เผลอสติเลย เอาสตินิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ ทำให้เป็นกายมนุษย์นั่น ตั้งสติตรงนั้นทำใจให้หยุด ไม่หยุดก็ไม่ยอม ทำให้หยุดไม่เผลอทีเดียว ทำจนกระทั่งใจหยุดได้ นี่เป็นตัวสติสัมโพชฌงค์แท้ๆ ไม่เผลอเลยทีเดียว ที่ตั้งที่หมายหรือ กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ สะดือทะลุหลัง ขวาทะลุซ้าย กลางกั๊กนั่น ใจหยุด ตรงนั้น เมื่อทำใจหยุดตรงนั้น ไม่เผลอสติทีเดียว ระวังใจหยุด นั้นไว้ นั่งก็ระวังใจหยุด นอน ก็ระวังใจหยุด เดินก็ระวังใจหยุด ไม่เผลอเลย นี่แหละตัวสติสัมโพชฌงค์แท้ๆ จะตรัสรู้ต่างๆ ได้เพราะมีสติสัมโพชฌงค์อยู่แล้ว
ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ เมื่อสติใจหยุดนิ่งอยู่ก็สอดส่องอยู่ ความดีความชั่วจะเล็ดลอด เข้ามาท่าไหน ความดีจะลอดเข้ามา หรือความชั่วจะลอดเข้ามา ความดีลอดเข้ามาก็ทำใจ ให้หยุด ความชั่วลอดเข้ามาก็ทำใจให้หยุด ดีชั่วไม่พ่องแพวไม่เอาใจใส่ ไม่กังวล ไม่ห่วงใย ใจหยุดระวังไว้ไม่ให้เผลอก็แล้วกัน นั่นเป็นตัวสติวินัย ที่สอดส่องอยู่นั่นเป็นธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์
วิริยสัมโพชฌงค์ เพียรรักษาใจหยุดนั้นไว้ไม่ ให้หาย ไม่ให้เคลื่อนทีเดียว ไม่เป็นไปกับ ความยินดียินร้ายทีเดียว ความยินดียินร้าย เป็น อภิชฌา โทมนัส เล็ดลอดเข้าไปก็ทำใจหยุด นั่นให้เสียพรรณไป ให้เสียผิวไป ไม่ให้หยุดเสีย ให้เขยื้อนไปเสีย ให้ลอกแลกไปเสีย มัวไป ดีๆ ชั่วๆ อยู่เสียท่าเสียทาง เพราะฉะนั้นต้องมีความเพียรกลั่นกล้ารักษาไว้ให้หยุดท่าเดียว นี้ได้ชื่อว่า วิริยสัมโพชฌงค์ เป็นองค์ที่ 3
ปีติสัมโพชฌงค์ เมื่อใจหยุดละก้อ ชอบอกชอบใจ ดีอกดีใจ ร่าเริงบันเทิงใจ อ้ายนั่นปีติ ปีติที่ใจหยุดนั่น ปีติไม่เคลื่อนจากหยุดเลย หยุดนิ่งอยู่นั่น นั่นปีติสัมโพชฌงค์ นี้เป็นองค์ที่ 4
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิ แปลว่า ระงับซ้ำ หยุดในหยุดๆๆ ไม่มีถอยกัน พอหยุด ก็เข้ากลางของใจที่หยุดนั่น หยุดในหยุด หยุดในหยุดนั่นทีเดียว นั่นปัสสัทธิ ระงับซ้ำเรื่อย ลงไป ให้แน่นหนาลงไว้ไม่คลาดเคลื่อน ปัสสัทธิ
มั่นคงอยู่ที่ใจหยุดนั่น ไม่ได้เป็นสองไป เป็นหนึ่งทีเดียว นั่นเรียกว่า สมาธิ ทีเดียว นั่นแหละ
พอสมาธิหนักเข้าๆ หนึ่งเฉยไม่มีสองต่อไป นี่เรียกว่า อุเบกขา เข้าถึงหนึ่งเฉยแล้ว อุเบกขาแล้ว
นี่องค์คุณ 7 ประการอยู่ทีเดียว นี่อย่าให้เลอะเลือนไป ถ้าได้ขนาดนี้ ภาวิตา พหุลีกตา กระทำเป็นขึ้นแค่นี้ กระทำให้มากขึ้น สํวตฺตนฺติ ย่อมเป็นไปพร้อม อภิญฺญาย เพื่อรู้ยิ่ง นิพฺพานาย เพื่อสงบระงับ โพธิยา เพื่อความตรัสรู้ ด้วยความกล่าวสัตย์อันนี้แหละ ขอความ สวัสดีจงมีแก่ท่านในทุกกาลทุกเมื่อ ความจริงอันนี้ถ้ามีจริงอยู่อย่างนี้ละ รักษาเป็นแล้ว
รักษาโพชฌงค์เป็นแล้ว อธิษฐานใช้ได้ ทำอะไรใช้ได้ โรคภัยไข้เจ็บแก้ได้ ไม่ต้องไป สงสัยละ ความจริงมีแล้วโรคภัยไข้แก้ได้ แก้ได้อย่างไร ท่านยกตัวอย่างขึ้นไว้ เอก สฺมึ สมเย นาโถ โมคฺคลฺลานญฺจ กสฺสปํ คิลาเน ทุกฺขิเต ทิสฺวา โพชฺฌงฺเค สตฺต เทสยิ เต จ ตํ อภินนฺทิตฺวา โรคา มุจฺจึสุ ตํขเณ. เอกสฺมึ สมเย ในสมัยหนึ่ง นาโถ พระ โลกนาถเจ้าทรง ทอดพระเนตรทรงดูพระโมคคัลลานะและพระกัสสปะ อาพาธถึงซึ่งทุกขเวทนา อาพาธเกิด เป็นทุกขเวทนา ทรงแสดงโพชฌงค์ทั้ง 7 ดังกล่าวแล้ว ที่แสดงแล้วนี่ ทรงแสดงโพชฌงค์ ทั้ง 7 ให้ทำใจหยุดลงไว้ ให้นิ่งลงไว้ เมื่อพระองค์ทรงแสดงโพชฌงค์ทั้ง 7 แล้ว ท่านทั้ง 2 พระโมคคัลลานะ กับ พระกัสสปะ มีใจร่าเริงบันเทิงในภาษิตของพระองค์นั้น โรคหายใน ขณะนั้น นี่ความสัตย์อันนี้ ความจริงอันนี้ โรคหายทีเดียว ได้ศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้ ทั้ง 3 ท่านนี้ พระโมคคัลลานะก็ดี พระกัสสปะก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดี ท่านผู้แสวงซึ่งคุณอันยิ่งใหญ่ ท่านเป็น ผู้สำเร็จแล้วยังมีโรคเข้ามาเบียดเบียนได้ เบียดเบียนก็ใช้โพชฌงค์กำจัดเสีย ไม่ต้องไปกินหยูก กินยาที่ไหนเลยสักอย่างหนึ่ง โพชฌงค์เท่านั้นแหละโรคหายไปหมด ดังวัดปากน้ำบัดนี้ ก็ใช้ วิชชาบำบัดโรคเช่นนี้เหมือนกัน ใช้บำบัดโรคไม่ต้องใช้ยา ตรงกับทางพุทธศาสนาจริงๆ อย่างนี้ นี่ชั้นหนึ่ง
นี่พระองค์เอง พระองค์ทรงเอง คราวนี้โดนพระองค์เข้าบ้าง เอกทา ธมฺมราชาปิ เคลญฺเญนาภิปีฬิโต ครั้งหนึ่งแม้พระธรรมราชาคือพระพุทธเจ้า ผู้เป็นเจ้าของพระธรรมเอง อัน อาพาธเข้าบีบคั้นแล้ว จุนฺทตฺเถเรน ตญฺเญว ภณาเปตฺวาน ทรงรับสั่งให้พระจุนทเถรแสดง โพชฌงค์ 7 ประการนั้นด้วยความยินดี สมฺโมทิตฺวา ทรงบันเทิงพระทัยในโพชฌงค์ที่พระจุนทเถร ทรงแสดงถวายนั้น อาพาธหายไปโดยฉับพลัน ด้วยฐานะอันสมควร ด้วยความสัตย์อันนี้ ขอ ความสวัสดีจงมีแก่ท่านทุกเมื่อ นี่พระองค์เองอาพาธ พระจุนทเถรแสดงสัมโพชฌงค์ระงับ ก็ หายอีกเหมือนกัน ในท้ายพระสูตรนี้ว่า ปหีนา เต จ อาพาธา อาพาธทั้งหลายเหล่านั้น อัน ท่านผู้แสวงหาซึ่งคุณอันยิ่งใหญ่ แม้ทั้ง 3 ละได้แล้ว มคฺคาหตกิเลสา ว ปตฺตานุปฺปตฺติธมฺมตํ ถึงซึ่งความไม่เกิดขึ้นอีกเป็นธรรมดา ดุจกิเลสอันมรรคกำจัดไปดังนั้น นี่ด้วยความสัตย์จริงอันนี้ ด้วยความกล่าวสัตย์อันนี้ ขอความสวัสดีจงบังเกิดมีแก่ท่านทุกเมื่อ นี่ความจริงเป็นดังนี้
ถ้าเรารู้จักพุทธศาสนาดังนี้ เราจะต้องปฏิบัติให้ถูกหลักฐานความจริงของพระพุทธศาสนา พระองคุลิมาลเถรเจ้า ท่านเป็นอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา เป็นขีณาสพแล้ว ท่าน ใช้ความสัตย์จริงของท่านขึ้นอธิษฐาน บันดาลให้หญิงคลอดบุตรไม่ออกให้ออกได้ตาม ความปรารถนา ส่วนโพชฌงค์ทั้ง 7 ประการ พระบรมศาสดาจารย์ทรงแสดงให้พระโมคคัลลานะ พระกัสสปะ กำลังอาพาธอยู่ก็หายโดยฉับพลัน แล้วส่วนพระองค์ท่านล่ะ อาพาธขึ้น ทรงรับสั่งให้พระจุนทเถรแสดงโพชฌงค์นั้น อาพาธของพระองค์ก็หายโดยฐานะอันสมควร ทีเดียว นี่หลักอันนี้โพชฌงค์เป็นตัวสำคัญ ประเสริฐเลิศกว่าโอสถใดๆ ในสากลโลกทั้งนั้น เหตุนี้ท่านผู้มีปัญญาเมื่อได้สดับมาในโพชฌงคปริตรนี้ จงมนสิการกำหนดไว้ในใจของตน ทุกถ้วนหน้า
ที่ได้ชี้แจงแสดงมาตามวาระพระบาลี คลี่ความเป็นสยามภาษา ตามมตยาธิบาย พอสมควรแก่เวลา เอเตน สจฺจวชฺเชน ด้วย อำนาจความสัตย์ที่ได้อ้างธรรมปฏิบัติ ตั้งแต่ต้น จนอวสานนี้ ขอความสุขสวัสดีจงบังเกิดมีแด่ท่านทั้งหลาย บรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ ทุกถ้วนหน้า อาตมภาพชี้แจงแสดงมาพอสมควรแก่เวลา สมมติว่ายุติธรรมีกถาโดยอรรถนิยม ความเพียงเท่านี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้.

ฟังเสียงพระพุทธมนต์