วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

อ่านฮอร์โมน ในมุมมองของ นิ้วกลม

[ก๊อบเก็บไว้ เผื่ออนาคตจะเอามาแชร์]

ฮอร์โมนคงไม่ใช่ละคร เรื่องเดียวที่ถูก"ผู้ใหญ่" เพ่งเล็ง และอาจจะถูกแบนได้หากผู้ใหญ่พิจารณาแล้วว่าเนื้อหา "ไม่เหมาะสม" ยังมีละครและหนังอีกเป็นจำนวนไม่น้อยที่ถูกแบนถูกเซ็นเซอร์อยู่เนืองๆ ในสังคมที่มี"ผู้ใหญ่" ที่ใช้ตัวเองเป็นมาตรวัดทางศีลธรรมและใช้ตัวเองตัดสินว่าเรื่องนั้นดีงาม เรื่องนี้ไม่ดีงามอยู่เสมอๆ

ในมุมมองของ"ผู้ใหญ่" เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยันค่ำหากอยากให้พวกเขาเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ก็ต้องป้อนแต่สิ่งดีๆ ให้พวกเขา

"เด็ก" ที่ว่านี้ไม่ได้หมายความถึงเยาวชนเท่านั้น แต่หลายครั้งที่"เด็ก" ในนิยามของ "ผู้ใหญ่" หมายถึงประชาชนในวงกว้าง

"ผู้ใหญ่"ใน สังคมไทยมักมองว่าประชาชนเป็นเด็กที่รู้น้อยกว่าตัวเอง มีสำนึกทางศีลธรรมที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะจึงต้องคอยควบคุมสื่อต่างๆ ให้มีเนื้อหาที่ถูกต้องดีงามมีคำสอนหรือบทสรุปท้ายรายการให้กระจ่างชัด "เด็ก"จะได้ไม่นำไปเลียนแบบ

แต่"ผู้ใหญ่" คงลืมไปว่า "เด็ก" มีศักยภาพที่จะเติบโตทางความคิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ผ่านการลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ผ่านการคิดวิเคราะห์ด้วยสมองที่มี และผ่านตัวอย่างทั้งร้ายดีผสมกัน

สิ่งเลวร้ายและสิ่งดีซึ่งมีอยู่ในโลกความจริง

หาก เรายอมรับความจริงเราก็จะได้เรียนรู้จากความจริงแต่หากเราหลอกตัวเอง นั่งฝันว่าบ้านเมืองและสังคมเราสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีเด็กนักเรียนมีเซ็กส์กันไม่มีเด็กนักเรียนทำแท้ง ไม่มีพระที่หลุดออกนอกกรอบพระวินัยไม่มีสิ่งที่ไม่ดีงาม และทำละครหรือหนังเพื่อบอกเล่าแต่"ตัวอย่าง" ที่ดี เราจะได้เรียนรู้โลกความจริงได้อย่างไร

บ่อยครั้งในชีวิตที่เราเรียน รู้จากความผิดพลาดของผู้อื่น บ่อยไปที่เราคิดได้จากการอ่าน ฟัง ดู ชีวิตของตัวละครในโลกจินตนาการที่สมจริง

และความ"คิดได้" นี้จะยิ่งฝังลึกในสมอง หากมันผ่านการคิดใคร่ครวญ คิดวิเคราะห์ ด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้พระเอก นางเอก ครู พระ หรือฮีโร่คนไหนในละครมาพูดสอนตอนอวสาน

แต่"ผู้ใหญ่" ทั้งหลายไม่เชื่อใน "ศักยภาพในการคิดเป็น"ของประชาชน ที่เขามองเห็นว่าเป็น "เด็ก" อยู่เสมอ กลัวว่าหากได้เห็นตัวอย่างที่ไม่ดีแล้วจะนำไปเลียนแบบ เป็นไปได้ไหมว่า"ผู้ใหญ่" ที่ปรารถนาดีทั้งหลายอาจเข้าใจว่าประชาชนไทยไม่มีความสามารถในการอ่าน

"การ อ่าน" ที่ไม่ได้หมายความว่าสะกดคำและอ่านออกเสียงได้เท่านั้น แต่ยังหมายถึงการ "อ่าน" ความหมายที่สอดแทรกอยู่ระหว่างเนื้อหา"อ่าน" แล้วคิดวิเคราะห์ ถกเถียง เชื่อมโยง คิดค้านคิดโต้ คิดต่อ ซึ่งนำมาซึ่งการ "คิดเอง"

การเรียนแบบท่องจำในโรงเรียนจนเคยชินอาจทำให้"ผู้ใหญ่" หลงคิดไปว่า เวลาบอกให้อ่านอะไรแล้วเด็กจะไม่คิดต่อคิดโต้เลย เด็กจะท่องจำไปทำต่อโดยอัตโนมัติ

อ.นิธิเอียวศรีวงศ์ เพิ่งเขียนถึงเรื่อง "อ่านหนังสือ" โดยบอกว่า"การอ่านเป็นวัฒนธรรมที่ผูกพันกับวิถีชีวิตทั้งหมด ไม่ใช่ช่วงเวลาหนึ่งที่คนเอาตาจ้องตัวอักษร"

การที่คนเราจะ"อ่าน หนังสือเป็น" นั้นต้องผ่านการฝึก เพราะถ้าไม่ผ่านการฝึก เราก็จะเป็นแค่คน "อ่านหนังสือออก"คือเข้าใจความหมายของสิ่งที่อ่าน แต่ไม่ได้ความคิดจากการอ่าน อ.นิธิเปรียบว่าเหมือนการอ่านป้ายเลี้ยวซ้ายผ่านตลอด

"เราไม่ได้อ่าน หนังสือเพื่อรับรู้ประสบการณ์ของคนอื่น แต่อ่านหนังสือเพื่อทำให้เเรามองเห็นประสบการณ์ของเราเองจากอีกมิติหนึ่ง ซึ่งเราไม่เคยเห็นมาก่อน คิดสิ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อน หรือคิดต่าง คิดลึกไปกว่าเดิมรวมทั้งเหลาความสามารถที่จะรู้สึกของเราให้แหลมคมขึ้น" --วรรคนี้อ่านแล้วพยักหน้าหงึกหงัก

แต่สังคมไทย(ตั้งแต่ในโรงเรียน) เราถูกฝึกให้ "อ่านออก" ไม่ใช่"อ่านเป็น" การอ่านจึงไม่สนุกโดยสิ้นเชิงเพราะอ่านแล้วไม่ได้คิด ไม่ได้ถกกัน ครูไม่ได้เอามาชวนวิเคราะห์ต่อกันในห้องเมื่อไหร่ที่พูดถึง "การอ่านหนังสือ" จึงกลายเป็นเรื่องที่เด็กๆ(รวมถึงคนที่โตแล้ว) เบื่อหน่ายและส่ายหน้า

เราไม่ใช่สังคมที่อ่านหนังสือไม่ออกแต่เราขี้ เกียจอ่าน หนัง ละคร วรรณกรรมหรือบทกวีที่ไม่ได้บอกกันตรงๆ จึงขายได้น้อยกว่าฮาวทูที่บอกทางลัดเป็นข้อๆ ให้ทำตาม และละครที่มีคำสอนท้ายเรื่อง ตัวละครขาวจัดดำจัด ชั่วก็ชั่วสุดๆ ดีก็ดีเลิศอย่างกับนางฟ้า จึงยังได้รับความนิยมมาโดยไม่เคยเปลี่ยนแปลง

แต่ นิสัยขี้เกียจอ่านของเราก็เกิดจากการที่"ผู้ใหญ่" ไม่ปล่อยให้เรา "อ่าน" สิ่งต่างๆ ไม่ปล่อยให้คนในสังคมได้คิดวิเคราะห์ ถกเถียง จากสื่อที่นำเสนอเรื่องราวที่หลากหลายเสนอแง่มุมความจริงบางอย่างของสังคม มิใช่โลกในนิยายที่มีแต่คุณชายหน้าตาดี และผู้หญิงที่ปลอมตัวเป็นผู้ชายเพื่อมาทวงสมบัติเจ้าคุณปู่คืนด้วยการโชว์ ปานรูปแมวน้ำที่แก้มก้นข้างซ้าย หรืออะไรทำนองนั้น


ถ้า ใช้ชีวิตอยู่ห่างจากความจริงและถูก"ผู้ใหญ่" ริบเอา "สิ่งที่จะอ่าน" สิ่งที่จะทำให้คิดเองได้แบบนี้ไปตลอดเวลา แล้วเมื่อไหร่ที่คนในสังคมจะได้เติบโตทางความคิดไปพร้อมๆ กัน

ไม่แน่ ใจเหมือนกันว่า"ผู้ใหญ่" ที่ไม่ยอมปล่อยให้ประชาชนได้ฝึกการอ่านสิ่งต่างๆ จากสื่อที่มีเนื้อหาหลากหลาย เขาหวังดีกับประชาชนและสังคมอย่างที่กล่าวอ้างหรือเปล่าหรือเขาอาจ "ใหญ่" และมีอำนาจจนเคยตัวและคิดว่ายิ่งประชาชนอ่านไม่เป็น คิดไม่เป็น ก็ยิ่งเป็นเด็กที่อยู่ในโอวาทปกครองง่าย ไม่หือ ไม่อือ ไม่คิดตั้งคำถามกระทั่งว่าเกณฑ์ในการตัดสินว่าละครหรือหนังเรื่องไหน "เหมาะสม"นั้นอยู่ในกำมือของ "ผู้ใหญ่" แค่ไม่กี่คนเท่านั้นเองหรือ

หาก"เด็กๆ" ไม่เติบโต "ผู้ใหญ่" ก็จะมีอำนาจ ใช้อำนาจและควบคุมตัดสินสิ่งที่จะป้อนให้เด็กๆ ได้อย่างเต็มที่ต่อไปตราบชั่วกาลนาน

แต่สังคมที่ดีและมีความคิดสร้างสรรค์นั้นไม่ควรเต็มไปด้วย"เด็ก" ที่คิดไม่เป็น และยิ่งไม่ควรเต็มไปด้วย "ผู้ใหญ่"ที่คิดไม่เป็น

ปล่อยให้พวกเราได้"อ่าน" กันบ้างเถิดครับ

ไม่ ควรรณรงค์เรื่องเมืองหนังสือโลกกันด้วยการแขวนโปสเตอร์"อ่านกันสนั่นเมือง" เท่านั้นแต่ควรปลูกฝังวัฒนธรรมการอ่านทุกสิ่ง อ่านชีวิตอ่านโลก อ่านสังคม อ่านการเมือง อ่านหนัง อ่านละคร อ่านฮอร์โมน อ่านดาว อ่านไผ่ อ่านสไปรท์ อ่านเต้ย ให้เกิดขึ้นด้วย

เพราะหากเรามีนิสัยของการ"อ่าน" ติดตัว สิ่งเลวร้ายทั้งหลายก็จะทำร้ายเราได้ยาก เพราะเราจะไม่ท่องจำและเลียนแบบเหมือนนกแก้วนกขุนทองอีกต่อไป แต่เราจะ"อ่าน" และ "คิด" กับทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

ปล่อยให้ พวกเรา"อ่าน" และคิดเองบ้างเถิดครับ "ผู้ใหญ่"แล้วงานของพวกท่านจะเบาลงอีกเยอะ เอาเวลานั่งแบนหนังแบนละครไปคิดอะไรที่มีประโยชน์ให้บ้านเมืองได้อีกมาก

ยิ่งแบนหนังแบนละครก็ยิ่งทำให้สังคมได้ประชาชนแบนๆ มากขึ้นทุกวัน

สังคมแห่งการอ่านจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีสิ่งต่างๆ ให้อ่านอย่างเสรีและหลากหลายเท่านั้น