พระธรรมเทศนา โดย พระภาวนาวิริยคุณ วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ.2553 โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา)
เมื่อวานนี้ หลวงพ่อได้เล่าถึงคุณยายของเราว่า คุณยายของเรานั้น ใจของท่านหน่วงอยู่กับพระนิพพาน หน่วงอยู่กับการสร้างบุญสร้างบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ อยู่ตลอดเวลา เพราะเหตุนี้ท่านจึงมีความเคารพในพระธรรมเป็นอย่างยิ่ง เมื่อหลวงพ่อถามคุณยายว่า “พระสารีบุตรซึ่งเป็นอัครสาวกเบื้องขวา สร้างบุญสร้างบารมีมาอย่างไร จึงได้มีปัญญาเป็นเลิศ พระอรหันต์ทั้งหลายเทียบกับท่านไม่ได้เลย”
คุณยาย...แม้อ่านหนังสือไม่ออก
แต่ผู้ที่เข้าถึงธรรมนั้น ในที่สุดก็จะเหมือนกัน ดำเนินรอยตามกันไป
ก่อนจะเข้าถึงก็มีความเคารพอยู่แล้วไม่อย่างนั้นก็เข้าไม่ถึง
ครั้นพอเข้าถึงก็ยิ่งซาบซึ้งในพระจริยวัตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ด้วยเหตุนี้ คุณยายจึงเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง
เคารพพระธรรมเป็นอย่างยิ่ง เคารพพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ของท่านเป็นอย่างยิ่ง
คุณยายก็ดำเนินรอยตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า แม้พระองค์เอง
ก็มีความเคารพในธรรมเป็นอย่างยิ่ง ตรงนี้ขอฝากเป็นข้อคิดเอาไว้กับทุกๆคน
เมื่อถึงคราวไปเป็นกัลยาณมิตรให้หมู่คณะ กล่าวคือ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ตัวของพระองค์เองนั้น เวลาที่จะเทศน์ให้ใครฟัง
จะไม่ยอมให้มีความประมาทเกิดขึ้นในพระองค์แม้เพียงเล็กน้อย
และมีความเคารพในธรรมอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเทศน์ให้เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินฟัง
จะเทศน์ให้นักปราชญ์บัณฑิตฟัง จะเทศน์ให้มหาเศรษฐีฟัง ก็มีความรัดกุมรอบคอบ
เช่นเดียวกับเทศน์ให้คนยากจนเข็ญใจฟัง เช่นเดียวกับเทศน์ให้เด็กๆฟัง
อุปมาดั่งราชสีห์ ไม่ว่าจะตะปบช้างหรือกระต่ายมากินเป็นอาหาร
ก็จะใช้ความรอบคอบระมัดระวัง ไม่ให้หลุดกรงเล็บไปได้ เสมอกัน
นี้คือความเคารพในธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทั้งๆที่พระองค์ทรงเป็นเจ้าของธรรมะ
ดังนั้น เมื่อหลวงพ่อถาม
คุณยายต้องย้อนกลับไปทำภาวนานิ่งอยู่ ไม่ต่ำกว่าห้าถึงเจ็ดนาที
แล้วจึงตอบช้าๆด้วยความระมัดระวังว่า
พระสารีบุตรมีบุญที่เหนือกว่าใครทั้งหลายอยู่ประการหนึ่ง คือ
ความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณของท่าน ทุกภพทุกชาติเป็นมาอย่างนั้น
เราอย่าลืมว่า พระอรหันต์ทุกองค์นั้น
ต่างก็หมดกิเลสด้วยกันทั้งสิ้น แต่คุณสมบัติพิเศษๆกลับไม่เหมือนกัน
พระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะ ต่างก็เป็นอัครสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นคงไม่ใช่เรื่องธรรมดา
ในการที่พระอรหันต์รูปใดรูปหนึ่งจะมีความเป็นเลิศในด้านใดด้านหนึ่ง
เนื่องจากการที่จะเป็นพระอรหันต์ธรรมดา ขอเพียงให้หมดกิเลส จะได้พ้นทุกข์
อย่างที่ชาวโลกทั้งหลายตั้งความปรารถนากันนั้น ยังต้องใช้เวลาเป็นอสงไขยกัป
กว่าจะสร้างบุญสร้างบารมีกันมา แก้ไขตัวเองกันมา ได้ขนาดนั้น
แม้ท่านใดจะสร้างบารมีล่วงหน้ามาก่อนเป็นเวลานาน
อย่างน้อยก็ยังต้องเป็นหมื่นเป็นแสนกัปกว่าจะหมดกิเลสได้ ดังนั้น
เมื่อมาเป็นพระอรหันต์ผู้เลิศกว่าพระอรหันต์ทั้งหลาย
จะต้องใช้ความทุ่มเทขนาดไหน
เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้ง หลาย ที่ในอดีตมีมาแล้วไม่ว่าจะกี่พระองค์ก็ตาม มีธรรมชาติอยู่ว่า ทุกพระองค์จะต้องมีอัครสาวก เมื่อมีผู้ที่ทราบความเป็นมาของการสร้างบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละ พระองค์ ก็มีบางท่านที่อยากจะสร้างบารมี แต่จะให้สร้างบารมีอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็กลัวจะไม่ไหว ถ้าจะเป็นพระอรหันต์ธรรมดา ด้วยความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ อีกทั้งรู้ว่ากว่าจะมาเจอพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าจะมาเป็นพระอรหันต์ กว่าจะหมดกิเลส ต้องเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วไม่รู้กี่แสนกัปกี่ล้านกัป เพราะฉะนั้น พ่อแม่ในอดีตชาติ คงมีมากมายทีเดียว ถ้าอย่างนั้นจะหมดกิเลสเพียงลำพังคนเดียว เห็นว่าหาสมควรไม่ น่าจะได้มีคุณสมบัติพิเศษๆ อะไรสักหน่อย เพื่อจะได้ไปโปรดโยมพ่อโยมแม่ของตัวเองในชาตินั้นๆ และจะได้ไปโปรดโยมพ่อโยมแม่ในอดีตชาติด้วย
เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้ง หลาย ที่ในอดีตมีมาแล้วไม่ว่าจะกี่พระองค์ก็ตาม มีธรรมชาติอยู่ว่า ทุกพระองค์จะต้องมีอัครสาวก เมื่อมีผู้ที่ทราบความเป็นมาของการสร้างบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละ พระองค์ ก็มีบางท่านที่อยากจะสร้างบารมี แต่จะให้สร้างบารมีอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็กลัวจะไม่ไหว ถ้าจะเป็นพระอรหันต์ธรรมดา ด้วยความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ อีกทั้งรู้ว่ากว่าจะมาเจอพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าจะมาเป็นพระอรหันต์ กว่าจะหมดกิเลส ต้องเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วไม่รู้กี่แสนกัปกี่ล้านกัป เพราะฉะนั้น พ่อแม่ในอดีตชาติ คงมีมากมายทีเดียว ถ้าอย่างนั้นจะหมดกิเลสเพียงลำพังคนเดียว เห็นว่าหาสมควรไม่ น่าจะได้มีคุณสมบัติพิเศษๆ อะไรสักหน่อย เพื่อจะได้ไปโปรดโยมพ่อโยมแม่ของตัวเองในชาตินั้นๆ และจะได้ไปโปรดโยมพ่อโยมแม่ในอดีตชาติด้วย
..............
หลัง
จากคุณยายอาจารย์ ท่านได้เมตตาตอบเรื่องของพระสารีบุตร
ผู้มีความกตัญญูกตเวทีเป็นเลิศ จึงได้มีปัญญาเป็นเลิศแล้ว หลวงพ่อก็ถามต่อ
“คุณยาย แล้วพระโมคคัลลานะ
สหายคู่ใจของพระสารีบุตรที่ได้ชื่อว่าเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและมีฤทธิ์มาก
เหลือเกิน จะเหาะเหินเดินอากาศ จะดำน้ำดำดินก็ได้สิ้น
อย่างนี้ท่านสร้างบุญสร้างบารมีของท่านมาอย่างไร”
หลวงพ่อถามคุณยายไปอย่างนี้ด้วยความอยากรู้จริงๆ เพราะตั้งแต่ก่อนบวช
แต่ไหนแต่ไรมา ตอนเป็นเด็กอ่านรามเกียรติ์ก็อยากมีฤทธิ์เหมือนหนุมาน
ครั้นพอวัยรุ่นขึ้นมาหน่อยไปอ่านขุนช้างขุนแผน ก็อยากมีฤทธิ์เหมือนขุนแผน
ครั้นต่อมา มาค้นพระไตรปิฎก อ่านมาถึงพระโมคคัลลานะ สนใจมาก อยากจะมีฤทธิ์
หลวงพ่อค้างใจมานาน เพราะอ่านประวัติของท่านแล้ว พลิกพระไตรปิฎกมาพอสมควร
แต่บอกได้ไม่ชัดว่า พระโมคคัลลานะสร้างบารมีมาอย่างไร
คุณยายก็เมตตาหลับตาค้นให้ต่อ
ครั้งนี้ใช้เวลาน้อยหน่อย ประมาณสามนาที
คงจะเป็นเพราะระลึกชาติไปดูการสร้างบารมีของพระสารีบุตร
ก็คงจะเห็นของพระโมคคัลลานะไปด้วยในตัวมาส่วนหนึ่งแล้ว
เพราะท่านเป็นสหายคู่ใจกันมาหลายภพหลายชาติ นับกันไม่ไหว ดังนั้น
ถ้าเห็นประวัติการสร้างบารมีของท่านหนึ่ง ก็จะเห็นของอีกท่านหนึ่งด้วย
เมื่อคุณยายลืมตาขึ้นมา ท่านตอบหลวงพ่อว่า
พระโมคคัลลานะนั้น เกิดกี่ภพกี่ชาติ ท่านเป็นบุคคลประเภทที่เอาภาระหมู่คณะ
จะอยู่กับพรรคพวกเพื่อนฝูงมากน้อยเท่าไหร่ก็เอาภาระของพรรคพวกเพื่อนฝูง
อยู่กับครอบครัวคุณพ่อคุณแม่วงศ์ญาติก็เอาภาระของพ่อแม่ เอาภาระของวงศ์ญาติ
ไปเกิดในหมู่บ้านไหนตำบลไหนก็เอาภาระในหมู่บ้านนั้นตำบลนั้นด้วย
ไม่ปล่อยปละละเลย ท่านเป็นประเภทอย่างนี้ คือ เอาภาระต่อหมู่คณะ
เพราะความที่เอาภาระต่อหมู่คณะนี่เอง ท่านจึงถูกบังคับว่า
ถ้ามีความรู้ความสามารถธรรมดาๆแล้ว คงตายเปล่า จึงต้องฝึกตนเองเป็นพิเศษ
ฝึกมากเข้าๆเพื่อจะแบกภาระให้หมู่คณะ
ไม่ว่าศาสตร์ไม่ว่าศิลปะใดๆมีอยู่ก็ในยุคนั้นๆ
เป็นต้องไปศึกษาไปเล่าเรียนมาทุกแขนง
เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับอุปสรรคที่จะเกิดกับหมู่คณะ
ในยามที่มีภาระเกิดขึ้นกับหมู่คณะ พระโมคคัลลานะจะออกหน้าทันที ด้วยเหตุนี้
พอมาถึงชาติสุดท้าย ท่านจึงมีฤทธิ์เป็นพิเศษทีเดียว
http://www.dmc.tv/pages/latest_update/20100812_1SPE_RIGHT.html