ความแตกต่างระหว่าง ศีล ในไตรสิกขา
และบุญกิริยาวัตถุ
ศีล ในความหมายของสองหัวข้อธรรม คือ ไตรสิกขา 3
และบุญกิริยาวัตถุ มีความแตกต่างกันในส่วนของความหมาย ซึ่งสามารถอ่านดูได้จากเนือหาจากพจนานุกรมพุทธศาสน์
และอรรถกถาในพระไตรปิฎกได้ดังนี้
ความหมายตามพจนานุกรมพุทธศาสน์
(๑๒๓) สิกขา ๓ หรือ ไตรสิกขา (ข้อที่จะต้องศึกษา, ข้อปฏิบัติที่เป็นหลักสำหรับศึกษา
คือ ฝึกหัดอบรมกาย วาจา จิตใจ และปัญญา
ให้ยิ่งขึ้นไปจนบรรลุจุดหมายสูงสุดคือพระนิพพาน — the Threefold Training)
๑. อธิสีลสิกขา (สิกขาคือศีลอันยิ่ง, ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมในทางความประพฤติอย่างสูง
— training in higher morality)
๒. อธิจิตตสิกขา (สิกขาคือศีลอันยิ่ง, ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกหัดอบรมจิตเพื่อให้เกิดคุณธรรมเช่นสมาธิอย่างสูง
— training in higher mentality)
๓. อธิปัญญาสิกขา (สิกขาคือปัญญาอันยิ่ง, ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมปัญญา
เพื่อให้เกิดความรู้แจ้งอย่างสูง — training in higher wisdom)
D.III.220;
A.I.229. ที.ปา.๑๑/๒๒๘/๒๓๑; องฺ.ติก.๒๐/๕๒๑/๒๙๔.
(๘๗) บุญกิริยาวัตถุ ๓ (ที่ตั้งแห่งการทำบุญ, เรื่องที่จัดเป็นการทำความดี, หลักการทำความดี, ทางทำความดี — bass of meritorious action; grounds for accomplishing merit)
๑. ทานมัย บุญกิริยาวัตถุ (ทำบุญด้วยการให้ปันสิ่งของ —
meritorious action consisting in giving or generosity)
๒. สีลมัย บุญกิริยาวัตถุ (ทำบุญด้วยการรักษาศีล
หรือประพฤติดีมีระเบียบวินัย — meritorious action consisting in observing
the precepts or moral behaviour)
๓. ภาวนามัย บุญกิริยาวัตถุ (ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา คือฝึกอบรมจิตใจ
— meritorious action consisting in mental development)
D.III.218;
A.IV.239; It.51. ที.ปา.๑๑/๒๒๘/๒๓๐;
องฺ.อฏฺฐก. ๒๓/๑๒๖/๒๔๕; ขุ.อิติ. ๒๕/๒๓๘/๒๗๐.
จากข้อความข้างต้นจะพบว่า
ศีลในไตรสิกขา หรือ อธิศีลสิกขา นั้น หมายถึง ข้อปฏิบัตืเกี่ยวกับศีล
เพื่อการฝึกอบรมจิต ในขณะที่ สีลมัย บุญกิริยาวัตถุ นั้น หมายถึง การรักษาศีลใดๆ
ในฐานะการกระทำที่เป็นความดี เป็นการสั่งสมบุญ
ความหมายตามอรรถกถา
อรรถกถาเกี่ยวกับไตรสิกขา
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ -
หน้าที่ 65
ข้อความบางตอนจาก อรรถกถามานกามสูตร
เมื่อศีลมี ก็ชื่อว่ามีอธิศีล
เมื่อจิตมีก็ชื่อว่ามีอธิจิต เมื่อปัญญามีก็ชื่อว่า
มีอธิปัญญา เพราะฉะนั้น ศีล ๕ ก็ดี ศีล ๑๐ ก็ดี จึงชื่อว่าศีล ในที่นี้.
มีอธิปัญญา เพราะฉะนั้น ศีล ๕ ก็ดี ศีล ๑๐ ก็ดี จึงชื่อว่าศีล ในที่นี้.
ปาฏิโมกขสังวร
พึงทราบว่าชื่อว่า
อธิศีล. สมาบัติ ๘ ชื่อว่า จิต. ฌานอันเป็น
บาทแห่งวิปัสสนา ชื่อว่า อธิจิต. กัมมสัสกตญาณ ชื่อว่า ปัญญา. วิปัสสนา
ชื่อว่า อธิปัญญา.
จริงอยู่ ศีลที่เป็นไปในกาลที่พระพุทธเจ้ายังไม่เกิด
ฉะนั้น ศีล
๕
ศีล ๑๐
ชื่อว่า ศีลเท่านั้น.
ปาฎิโมกขสังวรศีลย่อมเป็นไปในกาลที่พุทธเจ้า
ทรงอุบัติขึ้น ฉะนั้น จึงชื่อว่า อธิศีล. แม้ในจิตและปัญญา
ก็นัยนี้เหมือนกัน.
อีกอย่างหนึ่ง แม้ศีล ๕ ศีล ๑๐ อันผู้ปรารถนาพระนิพพาน สมาทาน
แล้วก็ชื่อว่า อธิศีลเหมือนกัน. แม้สมาบัติ ๘ ที่เข้าถึงแล้ว
ก็ชื่อว่า อธิจิต
เหมือนกัน.
หรือว่า โลกียศีลทั้งหมด
ชื่อว่า ศีล
เหมือนกัน โลกุตรศีล
ชื่อว่า อธิศีล. แม้ในจิตและปัญญา ก็นัยนี้เหมือนกัน.
ท่านประมวลสิกขา
๓
มากล่าวศาสนธรรมทั้งสิ้นไว้ ด้วยพระคาถานี้
ด้วยประการฉะนี้แล.
อรรถกถาปุญญกิริยาวัตถุสูตร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 386
อิติวุตตกะ ติกนิบาต วรรคที่ ๒
พึงทราบวินิจฉัยใน ปุญญกิริยาวัตถุสูตรที่ ๑ แห่ง วรรคที่ ๒
ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ปุญฺญกิริยาวตฺถูนิ ความว่า กุศลทั้งหลายที่ให้เกิดผลในภพ
ที่ควรบูชา หรือชำระสันดานของตน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าบุญ บุญเหล่านั้น
ด้วย ชื่อว่า เป็นกิริยา เพราะต้องทำด้วยเหตุด้วยปัจจัยทั้งหลายด้วย เพราะ
ฉะนั้น จึงชื่อว่า บุญกิริยา. และบุญกิริยานั่นเอง ชื่อว่า บุญกิริยาวัตถุ
เพราะความเป็นที่ตั้งแห่งอานิสงส์นั้นๆ.
จากข้อความในอรรถกถาข้างต้นนั้นจะพบว่า ศีลในไตรสิกขา
มุ่งเอาแต่เฉพาะ การรักษาศีลเพื่อการบรรลุมรรคผลนิพพาน หรือ โลกุตรศีล
ซึ่งจะมีเฉพาะเมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วเท่านั้น แต่ศีลในบุญกริยาวัตถุ
มีความหมายถึงการรักษาศีล เพื่อให้เกิดผลดีในอนาคต เช่น การไปสู่สุคติโลกสวรรค์
การดัดนิสัยตนเอง ซึ่งก็หมายความได้ทั้งทางโลกและทางธรรม
สรุป
ศีลในไตรสิกขา คือ อธิศีล หรือ โลกุตรศีล
ซึ่งผู้ปรารถนาฝึกอบรมจิตตรเพื่อพระนิพพานย่อมสมาทานเป็นปกติเท่านั้น
ต่างกับ ศีล ในบุญกิริยาวัตถุ
ซึ่งหมายถึงศีลทุกรูปแบบ ทั้งโลกียศีล สำหรับผู้มุ่งปรารภนาเสวยภพภูมิที่ดี และ
โลกุตรศีล สำหรับผู้มุ่งดับทุกข์