วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คุณธรรมของอัครสาวกทั้งสอง

(ตัดบางส่วนจาก "การสร้างบารมีแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน" 
พระธรรมเทศนา โดย พระภาวนาวิริยคุณ วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ.2553 โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา)


เมื่อวานนี้ หลวงพ่อได้เล่าถึงคุณยายของเราว่า คุณยายของเรานั้น ใจของท่านหน่วงอยู่กับพระนิพพาน หน่วงอยู่กับการสร้างบุญสร้างบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ อยู่ตลอดเวลา เพราะเหตุนี้ท่านจึงมีความเคารพในพระธรรมเป็นอย่างยิ่ง เมื่อหลวงพ่อถามคุณยายว่า “พระสารีบุตรซึ่งเป็นอัครสาวกเบื้องขวา สร้างบุญสร้างบารมีมาอย่างไร จึงได้มีปัญญาเป็นเลิศ พระอรหันต์ทั้งหลายเทียบกับท่านไม่ได้เลย”

        คุณยาย...แม้อ่านหนังสือไม่ออก แต่ผู้ที่เข้าถึงธรรมนั้น ในที่สุดก็จะเหมือนกัน ดำเนินรอยตามกันไป ก่อนจะเข้าถึงก็มีความเคารพอยู่แล้วไม่อย่างนั้นก็เข้าไม่ถึง ครั้นพอเข้าถึงก็ยิ่งซาบซึ้งในพระจริยวัตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้ คุณยายจึงเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง เคารพพระธรรมเป็นอย่างยิ่ง เคารพพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ของท่านเป็นอย่างยิ่ง
        คุณยายก็ดำเนินรอยตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า แม้พระองค์เอง ก็มีความเคารพในธรรมเป็นอย่างยิ่ง ตรงนี้ขอฝากเป็นข้อคิดเอาไว้กับทุกๆคน เมื่อถึงคราวไปเป็นกัลยาณมิตรให้หมู่คณะ กล่าวคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ตัวของพระองค์เองนั้น เวลาที่จะเทศน์ให้ใครฟัง จะไม่ยอมให้มีความประมาทเกิดขึ้นในพระองค์แม้เพียงเล็กน้อย และมีความเคารพในธรรมอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเทศน์ให้เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินฟัง จะเทศน์ให้นักปราชญ์บัณฑิตฟัง จะเทศน์ให้มหาเศรษฐีฟัง ก็มีความรัดกุมรอบคอบ เช่นเดียวกับเทศน์ให้คนยากจนเข็ญใจฟัง เช่นเดียวกับเทศน์ให้เด็กๆฟัง อุปมาดั่งราชสีห์ ไม่ว่าจะตะปบช้างหรือกระต่ายมากินเป็นอาหาร ก็จะใช้ความรอบคอบระมัดระวัง ไม่ให้หลุดกรงเล็บไปได้ เสมอกัน นี้คือความเคารพในธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งๆที่พระองค์ทรงเป็นเจ้าของธรรมะ

        ดังนั้น เมื่อหลวงพ่อถาม คุณยายต้องย้อนกลับไปทำภาวนานิ่งอยู่ ไม่ต่ำกว่าห้าถึงเจ็ดนาที แล้วจึงตอบช้าๆด้วยความระมัดระวังว่า พระสารีบุตรมีบุญที่เหนือกว่าใครทั้งหลายอยู่ประการหนึ่ง คือ ความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณของท่าน ทุกภพทุกชาติเป็นมาอย่างนั้น
        เราอย่าลืมว่า พระอรหันต์ทุกองค์นั้น ต่างก็หมดกิเลสด้วยกันทั้งสิ้น แต่คุณสมบัติพิเศษๆกลับไม่เหมือนกัน พระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะ ต่างก็เป็นอัครสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคงไม่ใช่เรื่องธรรมดา ในการที่พระอรหันต์รูปใดรูปหนึ่งจะมีความเป็นเลิศในด้านใดด้านหนึ่ง เนื่องจากการที่จะเป็นพระอรหันต์ธรรมดา ขอเพียงให้หมดกิเลส จะได้พ้นทุกข์ อย่างที่ชาวโลกทั้งหลายตั้งความปรารถนากันนั้น ยังต้องใช้เวลาเป็นอสงไขยกัป กว่าจะสร้างบุญสร้างบารมีกันมา แก้ไขตัวเองกันมา ได้ขนาดนั้น แม้ท่านใดจะสร้างบารมีล่วงหน้ามาก่อนเป็นเวลานาน อย่างน้อยก็ยังต้องเป็นหมื่นเป็นแสนกัปกว่าจะหมดกิเลสได้ ดังนั้น เมื่อมาเป็นพระอรหันต์ผู้เลิศกว่าพระอรหันต์ทั้งหลาย จะต้องใช้ความทุ่มเทขนาดไหน 

เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้ง หลาย ที่ในอดีตมีมาแล้วไม่ว่าจะกี่พระองค์ก็ตาม มีธรรมชาติอยู่ว่า ทุกพระองค์จะต้องมีอัครสาวก เมื่อมีผู้ที่ทราบความเป็นมาของการสร้างบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละ พระองค์ ก็มีบางท่านที่อยากจะสร้างบารมี แต่จะให้สร้างบารมีอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็กลัวจะไม่ไหว ถ้าจะเป็นพระอรหันต์ธรรมดา ด้วยความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ อีกทั้งรู้ว่ากว่าจะมาเจอพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าจะมาเป็นพระอรหันต์ กว่าจะหมดกิเลส ต้องเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วไม่รู้กี่แสนกัปกี่ล้านกัป เพราะฉะนั้น พ่อแม่ในอดีตชาติ คงมีมากมายทีเดียว ถ้าอย่างนั้นจะหมดกิเลสเพียงลำพังคนเดียว เห็นว่าหาสมควรไม่ น่าจะได้มีคุณสมบัติพิเศษๆ อะไรสักหน่อย เพื่อจะได้ไปโปรดโยมพ่อโยมแม่ของตัวเองในชาตินั้นๆ และจะได้ไปโปรดโยมพ่อโยมแม่ในอดีตชาติด้วย 
..............

หลัง จากคุณยายอาจารย์ ท่านได้เมตตาตอบเรื่องของพระสารีบุตร ผู้มีความกตัญญูกตเวทีเป็นเลิศ จึงได้มีปัญญาเป็นเลิศแล้ว หลวงพ่อก็ถามต่อ “คุณยาย แล้วพระโมคคัลลานะ สหายคู่ใจของพระสารีบุตรที่ได้ชื่อว่าเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและมีฤทธิ์มาก เหลือเกิน จะเหาะเหินเดินอากาศ จะดำน้ำดำดินก็ได้สิ้น อย่างนี้ท่านสร้างบุญสร้างบารมีของท่านมาอย่างไร”
        หลวงพ่อถามคุณยายไปอย่างนี้ด้วยความอยากรู้จริงๆ เพราะตั้งแต่ก่อนบวช แต่ไหนแต่ไรมา ตอนเป็นเด็กอ่านรามเกียรติ์ก็อยากมีฤทธิ์เหมือนหนุมาน ครั้นพอวัยรุ่นขึ้นมาหน่อยไปอ่านขุนช้างขุนแผน ก็อยากมีฤทธิ์เหมือนขุนแผน ครั้นต่อมา มาค้นพระไตรปิฎก อ่านมาถึงพระโมคคัลลานะ สนใจมาก อยากจะมีฤทธิ์ หลวงพ่อค้างใจมานาน เพราะอ่านประวัติของท่านแล้ว พลิกพระไตรปิฎกมาพอสมควร แต่บอกได้ไม่ชัดว่า พระโมคคัลลานะสร้างบารมีมาอย่างไร
        คุณยายก็เมตตาหลับตาค้นให้ต่อ ครั้งนี้ใช้เวลาน้อยหน่อย ประมาณสามนาที คงจะเป็นเพราะระลึกชาติไปดูการสร้างบารมีของพระสารีบุตร ก็คงจะเห็นของพระโมคคัลลานะไปด้วยในตัวมาส่วนหนึ่งแล้ว เพราะท่านเป็นสหายคู่ใจกันมาหลายภพหลายชาติ นับกันไม่ไหว ดังนั้น ถ้าเห็นประวัติการสร้างบารมีของท่านหนึ่ง ก็จะเห็นของอีกท่านหนึ่งด้วย 
        เมื่อคุณยายลืมตาขึ้นมา ท่านตอบหลวงพ่อว่า พระโมคคัลลานะนั้น เกิดกี่ภพกี่ชาติ ท่านเป็นบุคคลประเภทที่เอาภาระหมู่คณะ จะอยู่กับพรรคพวกเพื่อนฝูงมากน้อยเท่าไหร่ก็เอาภาระของพรรคพวกเพื่อนฝูง อยู่กับครอบครัวคุณพ่อคุณแม่วงศ์ญาติก็เอาภาระของพ่อแม่ เอาภาระของวงศ์ญาติ ไปเกิดในหมู่บ้านไหนตำบลไหนก็เอาภาระในหมู่บ้านนั้นตำบลนั้นด้วย ไม่ปล่อยปละละเลย ท่านเป็นประเภทอย่างนี้ คือ เอาภาระต่อหมู่คณะ เพราะความที่เอาภาระต่อหมู่คณะนี่เอง ท่านจึงถูกบังคับว่า ถ้ามีความรู้ความสามารถธรรมดาๆแล้ว คงตายเปล่า จึงต้องฝึกตนเองเป็นพิเศษ ฝึกมากเข้าๆเพื่อจะแบกภาระให้หมู่คณะ ไม่ว่าศาสตร์ไม่ว่าศิลปะใดๆมีอยู่ก็ในยุคนั้นๆ เป็นต้องไปศึกษาไปเล่าเรียนมาทุกแขนง เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับอุปสรรคที่จะเกิดกับหมู่คณะ ในยามที่มีภาระเกิดขึ้นกับหมู่คณะ พระโมคคัลลานะจะออกหน้าทันที ด้วยเหตุนี้ พอมาถึงชาติสุดท้าย ท่านจึงมีฤทธิ์เป็นพิเศษทีเดียว 
อ่านเนื้อหาโดยสมบูรณ์ได้ที่
 http://www.dmc.tv/pages/latest_update/20100812_1SPE_RIGHT.html